Page 16 - b29256_Fulltext
P. 16
แต่ในการศึกษาของวริยาเกี่ยวกับการช่วยเหลือด้านสาธารณสุขจากประเทศพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐอเมริกา ที่
วิเคราะห์ผ่านระบบเศรษฐกิจทุนนิยมโลกทำให้ได้ข้อสรุปว่าการก้าวสู่ภาวะความทันสมัยด้านสาธารณสุขนั้น นโยบาย
ระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกาและการพัฒนาทุนนิยมโลกมีส่วนอย่างสำคัญ โดยผ่านการพัฒนาโรงเรียนแพทย์ที่
มูลนิธิร็อคกีเฟลเลอร์เสนอให้รัฐบาลไทย ซึ่งรัฐบาลไทยต้องยอมตามเงื่อนไขที่กำหนดจากต่างประเทศ เพื่อแลกกับการ
พัฒนาการแพทย์ไทยให้ทันสมัย
งานที่ถือได้ว่าให้ภาพของบทบาทรัฐในการดำเนินยนโยบายด้านการแพทย์และสาธารณสุขอย่างมากคือ งานที่
สรุปถึงการดำเนินงานทางด้านการแพทย์ของรัฐบาลในสมัยการปกครองสมบูรณาญาสิทธิราชย์สมัยรัชกาลที่ 7 ไว้อย่าง
ดี คือรายงานจากการประชุมของ Far Eastern Association of tropical Medicine ในปี พ.ศ. 2473 เรื่อง Siam
General and Medical Features (1930) ในงานชิ้นนี้แม้จะไม่ใช่การศึกษาในเชิงประวัติศาสตร์ก็ตาม แต่ในการ
ประเมินภาพรวมของการดำเนินงานด้านสาธารณสุขครั้งนั้นได้ให้ภาพของพัฒนาการของงานด้านสุขภาพที่จัดการโดย
รัฐในสังคมไทยก่อนหน้าการเปลี่ยนแปลงการปกครองพอสมควร
ในขณะที่วิทยานิพนธ์ของ สุกิจ ด่านยุทธศิลป์ เรื่อง การสาธารณสุขแบบสมัยใหม่ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จ
พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ. 2453-2468) (2533) เป็นประเด็นเกี่ยวกับบทบาทของรัฐและชนชั้นนำในการสถาปนา
ระบบการแพทย์สมัยใหม่ ที่เป็นผลมาจากความเปลี่ยนแปลงของการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ทั้งจากภายในภายนอก
ของรัฐไทย จนเป็นผลให้รัฐต้องจัดให้ต้องมีการสาธารณสุขแบบใหม่ ซึ่งเริ่มต้นจากจัดให้มีการศึกษาแพทย์มาตรฐาน
วิชาชีพชั้นสูงจากความร่วมมือของมูลนิธิร็อคกีเฟลเลอร์และรัฐได้ให้การส่งเสริมการศึกษาแพทย์แผนใหม่ในการผลิต
บุคลากรทางการแพทย์เพื่อประโยชน์ในการขยายบทบาททางด้านการปกครองของรัฐ ดังนั้นงานชิ้นนี้นับเป็นงานที่ใช้
เปรียบเทียบและเป็นแนวทางการมองในแต่ละรัชสมัยได้เป็นอย่างดี
งานอีกประเภทคือเน้นไปที่บทบาทของบุคคลสำคัญที่ดำรงตำแหน่งในช่วงเวลาหนึ่ง ประเภทนี้ ได้แก่
วิทยานิพนธ์ศึกษาประวัติบุคคลที่มีส่วนอย่างมากในการก่อรากฐานการแพทย์แผนปัจจุบันให้ลงหลักปักฐานมั่นคงใน
สังคมไทย คือ สมเด็จฯ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ผู้ดำรงตำแหน่งอธิบดีคนแรก เป็นผู้วางรากฐานการสาธารณสุข
16
ปลุกปั้นการรวมหน่วยงานด้านสาธารณสุขให้มีบทบาทสำคัญในการทำหน้าที่ดูแลสุขภาพประชาชนทั่วราชอาณาจักร
เป็นครั้งแรก และได้ดำเนินงานอย่างต่อเนื่องตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 จนถึงรัชกาลที่ 7 ต่อมา นอกจากจะมีงาน
วิทยานิพนธ์แล้ว ก็ยังมีการเขียนในวาระเฉลิมพระเกียรติหรือเป็นวาระรำลึกถึงกรุณาธิคุณอีกด้วย เช่น ในวาระการสร้าง
16 สุรีรัตน์ สวัสดี, “บทบาทของสมเด็จฯกรมพระยาชัยนาทนเรนทรต่อการแพทย์และการสาธารณสุข (พ.ศ. 2456-2468),”
(วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2530).
15