Page 14 - b29255_fulltext
P. 14

พวกเธอก็ถูกจ ากัดไว้แต่เพียงไร่นา โรงงานอุตสาหกรรมและการเป็นคนรับใช้ ไม่มีสถานภาพเท่าเทียมชาย ไม่
                                                                6
               สามารถรับต าแหน่งทางราชการหรือประกอบอาชีพอื่นใดได้
                       อย่างไรก็ดี แม้ค่านิยมของสังคมตะวันตกยังก าหนดให้สตรีมีสถานะที่ต่ ากว่าผู้ชาย ทั้งยังจ ากัดพื้นที่ของ
               สตรีไว้แต่เพียงในบ้านเท่านั้น แต่ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 จนถึงช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 (ร่วมสมัย
               รัชกาลที่ 5) วิถีชีวิตของสตรีตะวันตกเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะการได้รับพื้นที่นอกบ้านมากขึ้น ไม่
               ว่าจะเป็นการได้รับโอกาสทางการศึกษา การท างานหรือแม้แต่การสันทนาการ การพักผ่อนหย่อนใจนอกบ้าน ซึ่ง

               ขัดแย้งกับค่านิยมและแบบแผนทางสังคมที่สืบทอดกันมา ใน ค.ศ. 1870 รัฐบาลอังกฤษได้ประกาศใช้
               พระราชบัญญัติการครอบครองทรัพย์สินของสตรีที่สมรสแล้ว (Married Women’s Property Act of 1870) ซึ่ง
               เป็นการ “ปฏิวัติ” ทางสังคมในแง่หนึ่ง เพราะเป็นการยอมรับสถานะของสตรีในฐานะผู้ถือครองทรัพย์สินแม้จะ
               สมรสแล้ว แตกต่างจากเดิมที่ผู้หญิงจ าต้องสละการครอบครองทรัพย์สินรวมถึงรายได้ให้แก่สามี
                                                                                             7
                       ใน ค.ศ. 1910 สตรีชาวตะวันตก (รวมไปถึงสตรีในสหรัฐอเมริกา) กว่า 7,500,000 ราย มีงานท านอกบ้าน
               ในขณะที่ขบวนการสตรีนิยมได้เคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องความเท่าเทียมกันทั้งในทางสวัสดิการท างานและการเมือง
               เทียบเท่ากับผู้ชายอย่างต่อเนื่อง ในประเทศสหราชอาณาจักรมีการจัดตั้งสหภาพสังคมและการเมืองสตรี
               (Women's Social and Political Union) ในค.ศ. 1903 เพื่อเคลื่อนไหวเรียกร้องสิทธิในการเลือกตั้งของสตรีที่ยัง

               ไม่ได้รับสิทธิทางการเมืองเท่าเทียมกับบุรุษ แม้ว่าสตรีในขณะนั้นจะมีหน้าที่การงานนอกบ้านแล้วและสามารถสร้าง
               รายได้ให้ครอบครัวเช่นเดียวกัน ในสหรัฐอเมริกามีการจัดตั้งสหภาพแรงงานสตรีโรงงานทอผ้าสากล
               (International Ladies' Garment Workers' Union) ในค.ศ. 1900 นับเป็นสหภาพแรงงานสตรีแห่งแรกของ

               สหรัฐฯ และมีบทบาทส าคัญในการเรียกร้องสิทธิและสวัสดิการในการท างานของแรงงานสตรีในโรงงานทอผ้าซึ่ง
               เป็นอุตสาหกรรมหลักที่มีการว่าจ้างแรงงานสตรี
                                                       8
                       เมื่อสงครามโลกเริ่มขึ้นใน ค.ศ. 1914 (พ.ศ. 2457 ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 6) ท าให้สตรีกลายเป็นแรงงาน
               ส าคัญของแต่ละประเทศที่จ าต้องขับเคลื่อนระบบรัฐ เศรษฐกิจและอุตสาหกรรมต่อไป อาชีพที่เคยสงวนไว้ส าหรับ
               ผู้ชายเท่านั้น อาทิต ารวจ คนขับรถราง หรือแรงงานในโรงงานอุตสาหกรรมผลิตอาวุธจ าเป็นต้องเปิดพื้นที่ให้แก่สตรี

               เพื่อรักษาความต่อเนื่องของงานและเพื่อรักษาความมั่นคงของระบบเศรษฐกิจ รวมถึงยุทธศาสตร์ของประเทศใน
               ภาวะสงคราม สงครามจึงท าให้สตรีตะวันตกมี “พื้นที่นอกบ้าน” มากขึ้นในฐานะก าลังแรงงานแทนบุรุษที่ถูกเกณฑ์
               ไปเป็นทหาร ค่านิยมเดิมของสังคมตะวันตกที่จ ากัดให้สตรีเป็นผู้ดูแลบ้าน มีหน้าที่ปรนนิบัติสามีและลูกเท่านั้นจึงไม่

               อาจใช้ได้อีกต่อไป แม้พื้นที่นอกบ้านเช่นนี้จะหมดไปเมื่อเหล่าทหารผ่านศึกกลับจากการรบหลังสงครามสิ้นสุดลงใน
               ปีค.ศ 1918 (พ.ศ. 2461) แต่รัฐบาลในโลกตะวันตกก็ไม่สามารถน าค่านิยมทางสังคมก่อน ค.ศ. 1914 (พ.ศ. 2457)
               มาบังคับใช้ได้อีก กระแสเรียกร้องสิทธิทางการเมืองของแรงงานสตรีและการต่อต้านจารีตทางสังคมที่ก าหนดโดย
               ชนชั้นสูงกลายเป็นพลวัตส าคัญทางการเมืองและสังคมยุโรปหลังมหาสงคราม และกลายเป็นรากฐานส าคัญของ

               ขบวนการสตรีนิยมในทศวรรษ 1920 ซึ่งเครื่องแต่งกายสตรีเป็นตัวอย่างส าคัญของการปฏิวัติค่านิยมทางสังคมที่มี
               ต่อบทบาทและพื้นที่นอกบ้านของสตรี





                       6  Eugene Charlton Black, ed., Victorian Culture and Society (New York: Harper & Row, 1973), p.186.
                       7  Black, Victorian Culture and Society, p.190–191.
                       8  Presley, “Fifty Years of Change,” p. 310.


                                                             13
   9   10   11   12   13   14   15   16   17   18   19