Page 81 - 23464_Full text
P. 81

80



                          ก. ความเป็นสัดส่วนระหว่างคะแนนเสียงกับที่นั่ง (proportionality)

                          ข. ความเข้มแข็งและเสถียรภาพของรัฐบาล (government)

                          ค. ความเข้มแข็งของระบบพรรคการเมือง (party system)

                          ง. การให้ความส าคัญกับพรรคขนาดเล็ก (representation)

                          จ. ความง่ายต่อความเข้าใจของผู้ลงคะแนน (simplicity)

                          งานวิจัยชิ้นนี้จะใช้หลักข้อนี้มาศึกษาผลกระทบของการเลือกตั้งทั่วไปของไทยที่จัดขึ้นในวันที่
                   14 พฤษภาคม 2566 โดยไล่เรียงไปทีละประเด็น



                   ก. ความเป็นสัดส่วนระหว่างคะแนนเสียงกับที่นั่ง (proportionality)

                          หลักความเป็นสัดส่วนเป็นเกณฑ์ส าคัญประการหนึ่งในการตัดสินคุณภาพของระบบการ
                   เลือกตั้ง โดยระบบการเลือกตั้งที่ดีควรสะท้อนความเป็นสัดส่วนระหว่างคะแนนเสียงที่พรรคการเมือง

                   ได้รับกับที่นั่งในสภา อย่างไรก็ตาม หลักความเป็นสัดส่วนมิใช่เป้าหมายประการเดียว และไม่จ าเป็นว่า
                   จะต้องเป็นเป้าหมายที่ส าคัญที่สุดเสมอไป ขึ้นอยู่กับสภาพปัญหาของแต่ละสังคมที่ไม่เหมือนกัน
                   ในสังคมที่มีปัญหาความอ่อนแอของฝ่ายบริหารและปัญหาความไร้เสถียรภาพอย่างต่อเนื่อง เป้าหมาย
                   เรื่องเสถียรภาพอาจจะส าคัญกว่าเรื่องการสร้างความเป็นสัดส่วน ดังนั้น จึงพบว่าประเทศส่วนใหญ่
                   ในโลกนี้ยังคงเลือกใช้ระบบเลือกตั้งแบบเสียงข้างมาก เพราะต้องการสร้างรัฐบาลที่เข้มแข็ง

                   และมีเสถียรภาพทางการเมือง และการผลักดันนโยบายได้อย่างมีเอกภาพของรัฐบาล มากกว่าที่จะใช้
                   ระบบเลือกตั้งแบบสัดส่วนที่มักน าไปสู่รัฐบาลผสมประเทศใดจะออกแบบระบบเลือกตั้งโดยให้
                   ความส าคัญกับความเป็นสัดส่วนเป็นหลักจึงต้องชั่งน้ าหนักถึงผลกระทบอย่างอื่นที่จะตามมาด้วยเสมอ

                   (Gallagher 1991; Blais 2008; Becher and Gonzalez 2019)

                          ในสังคมที่มีความขัดแย้งแบ่งขั้วสูง เป้าหมายเรื่องความเป็นสัดส่วนถือว่ามีความส าคัญ เพราะ
                   หากพรรคการเมืองแต่ละพรรคได้ที่นั่งมากหรือน้อยเกินกว่าคะแนนเสียงที่แต่ละพรรคได้รับจาก
                   ผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง อาจก่อให้เกิดความไม่พอใจในกลุ่มผู้สนับสนุนพรรคการเมืองแต่ละพรรคได้
                   ยกตัวอย่างเช่น พรรคการเมือง ก ได้คะแนนเสียงร้อยละ 40 จากผู้เลือกตั้ง แต่ได้รับการจัดสรรที่นั่ง

                   ในสภาเพียงร้อยละ 20 ภาวะเช่นนี้ย่อมท าให้ผู้สนับสนุนพรรคการเมือง ก รู้สึกว่ามีความไม่เป็นธรรม
                   เกิดขึ้น หรือกรณีในทางตรงกันข้าม คือ พรรคการเมือง ข ได้คะแนนเสียงทั้งหมดคิดเป็นร้อยละ 40
                   แต่ได้รับการจัดสรรที่นั่งในสภาสูงถึงร้อยละ 60 ซึ่งปรากฏการณ์ที่พรรคการเมืองขนาดใหญ่ได้ที่นั่ง
                   เกินสัดส่วนคะแนนที่ตนได้รับค่อนข้างมากเช่นนี้ก็อาจท าให้ผู้สนับสนุนพรรคการเมืองอื่นๆ ที่มีขนาด

                   กลางและขนาดเล็กรู้สึกไม่พอใจได้

                          ความรู้สึกไม่พอใจต่อความไม่เป็นสัดส่วน (disproportionality) สามารถขยายตัวกลายเป็น
                   ความไม่พอใจต่อระบอบการเมืองโดยรวมได้ เพราะประชาชนจ านวนหนึ่งอาจรู้สึกว่าไม่สามารถ
                   เปลี่ยนแปลงรัฐบาลผ่านการลงคะแนนในคูหาเลือกตั้งได้ หรือรู้สึกว่ากติกาการแข่งขันไม่เป็นธรรม
   76   77   78   79   80   81   82   83   84   85   86