Page 82 - 23464_Full text
P. 82
81
งานวิจัยในระยะหลังยังชี้ให้เห็นว่า ความไม่เป็นสัดส่วนระหว่างคะแนนเสียงกับที่นั่งยังน าไปสู่
ภาวะประชาธิปไตยถดถอยในหลายประเทศ อาทิ ฮังการี ตุรกี โปแลนด์ รัสเซีย เป็นต้น เนื่องจาก
พรรคการเมืองที่ชนะเลือกตั้งได้เป็นรัฐบาลได้ครองที่นั่งข้างมากในสภามากเกินกว่าสัดส่วนคะแนน
เสียงที่พรรคของพวกเขาได้รับ เสียงข้างมากในสภาดังกล่าวเอื้อให้ผู้น าสามารถด าเนินโยบายโดยไม่ฟัง
เสียงประชาชนและไม่สนใจกลไกการตรวจสอบถ่วงดุลอ านาจในระบบ (Levitsky and Ziblatt 2019;
Haggard and Kaufman 2021)
ระบบผสมแบบคู่ขนานแม้จะมีความเป็นสัดส่วนมากกว่าระบบเสียงข้างมาก แต่ก็ยังก่อให้เกิด
ความไม่เป็นสัดส่วนอยู่ในส่วนของระบบ ส.ส. เขต เนื่องจากในระบบ ส.ส. เขตนั้นใช้ระบบเลือกตั้ง
แบบเขตเดียวคนเดียวแบบเสียงข้างมาก ผู้ที่ชนะคือผู้สมัครที่ได้คะแนนมากที่สุดจากผู้มาลงคะแนน
เสียง แม้จะชนะคู่แข่งเพียงแค่ 1 คะแนนก็ตาม ยิ่งมีจ านวน ส.ส. เขตมากกว่า ส.ส. บัญชีรายชื่อมาก
เท่าใดความไม่เป็นสัดส่วนก็จะยิ่งสูงขึ้นมากเท่านั้น ในส่วนของคะแนนบัตรบัญชีรายชื่อนั้นจะไม่มี
ปัญหาเรื่องความไม่เป็นสัดส่วน เพราะผู้เลือกตั้งลงคะแนนให้กับพรรคในเขตเลือกตั้งทั้งประเทศ
การค านวณก็ดูว่าแต่ละพรรคได้คะแนนทั้งประเทศคิดเป็นสัดส่วนเท่าใดก็ได้ที่นั่งไปตามนั้น คะแนนใน
บัตรบัญชีรายชื่อจึงมีความเป็นสัดส่วน (ทั้งนี้หากไม่มีเพดานขั้นต่ าเลย ความเป็นสัดส่วนก็จะสมบูรณ์
แต่ถ้าก าหนดเพดานขั้นต่ าสูง ท าให้พรรคเล็กไม่ได้จัดสรรที่นั่ง ระดับความเป็นสัดส่วนก็ลดลง) ฉะนั้น
ความไม่เป็นสัดส่วนในระบบเลือกตั้งนี้จะเกิดขึ้นที่ระบบเขตมากกว่าระบบบัญชีรายชื่อ
การเปรียบเทียบที่เป็นระบบเพื่อดูความไม่เป็นสัดส่วน สามารถดูได้จากคะแนนในระบบบัญชี
รายชื่อของแต่ละพรรค เพราะคะแนนส่วนนี้ย่อมสะท้อนถึงความนิยมที่ประชาชนทั้งประเทศมีต่อ
พรรคการเมืองทั้งหลาย หลังจากนั้นพิจารณาดูว่าแต่ละพรรคได้ที่นั่งในสภาทั้งหมดเท่าใด (จากระบบ
เขตและระบบบัญชีรายชื่อรวมกัน) ก็จะได้ค าตอบว่าแต่ละพรรคได้ที่นั่งมากหรือน้อยกว่าสัดส่วน
คะแนนที่พวกเขาได้จากประชาชนทั้งประเทศเพียงใด
จากการค านวณความไม่เป็นสัดส่วนระหว่างคะแนนนิยมพรรคกับที่นั่ง ส.ส. ในสภาใน
การเลือกตั้ง พ.ศ. 2566 พบว่ามีความไม่เป็นสัดส่วนดังแสดงผลในตารางที่ 8 ต่อไปนี้