Page 66 - 23464_Full text
P. 66
65
ฉะนั้นจึงมีเหตุผลที่พรรคการเมืองขนาดใหญ่ของไทยทั้งพรรคเพื่อไทย และพรรคประชาธิปัตย์ และ
พรรคพลังประชารัฐ (ณ ขณะที่มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ) จึงสนับสนุนให้กลับไปใช้ระบบเลือกตั้งแบบ
บัตร 2 ใบแบบ MMM โดยมีสัดส่วนส.ส. เขตสูงกว่าส.ส. บัญชีรายชื่อถึง 4 ต่อ 1 (400:100) เพราะ
หากเพิ่มจ านวนส.ส. บัญชีรายชื่อมากขึ้น สมมุติว่าเพิ่มเป็น 150 หรือ 200 พรรคขนาดกลางและ
ขนาดเล็กก็จะมีโอกาสแข่งขันได้มากขึ้นและได้รับจัดสรรที่นั่งผู้แทนจ านวนสูงขึ้นเบียดแย่งไปจาก
พรรคใหญ่
หลังจากที่กฎหมายเลือกตั้งถูกประกาศใช้อย่างเป็นทางการ จึงไม่เป็นที่น่าแปลกใจว่า
นักวิเคราะห์และนักการเมืองทุกพรรคในแวดวงการเมืองด้วยกันจะคาดการณ์ไปในทิศทางเดียวกันว่า
พรรคเพื่อไทยมีโอกาสชนะเลือกตั้งแบบ “แลนด์สไลด์” ในการเลือกตั้งภายใต้ระบบนี้ เพราะพรรค
ขนาดเล็กจะแข่งขันไม่ได้และมีโอกาสหายไปจากระบบการเมืองไทย ในขณะที่พรรคการเมืองขนาด
กลางก็จะได้ที่นั่งน้อย เพราะจะได้คะแนนบัญชีรายชื่อไม่มาก ส่วน ส.ส. เขต ก็จะได้เฉพาะเขตที่มี
ฐานเสียงเข้มแข็งเท่านั้น พรรคขนาดกลางจะแพ้เลือกตั้งในระบบเขตส่วนใหญ่โดยได้คะแนนมาเป็น
ล าดับที่ 2 หรือ 3 ซึ่ง “คะแนนตกน้ า” ในระบบเขตจะไม่ถูกน ามาค านวณเป็นที่นั่งให้กับพรรค
60
การเมืองเหมือนระบบจัดสรรปันส่วนผสม
พรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคที่มีจุดยืนไม่มั่นคงเนื่องจากขาดความเป็นเอกภาพ อันเป็นผลมา
จากความอ่อนแอของพรรคหลังการเลือกตั้งปี 2562 ที่ผลงานของพรรคถดถอยมากที่สุดครั้งหนึ่งใน
ประวัติศาสตร์ของพรรค จนน าไปสู่ปรากฏการณ์ที่อดีตแกนน าพรรคและสมาชิกพรรคคนส าคัญ
จ านวนมากย้ายออกจากพรรคไปสังกัดพรรคการเมืองคู่แข่ง กระทั่งบางคนเลิกเล่นการเมือง
ซึ่งความขัดแย้งและความไม่ลงรอยระหว่างกลุ่มต่างๆ ในพรรคประชาธิปัตย์นี้ปรากฏเปิดเผยต่อ
61
สาธารณะอย่างต่อเนื่อง
ในช่วงแรกของกระแสการขับเคลื่อนไหให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ พรรคประชาธิปัตย์เสนอให้
มีการเปลี่ยนกลับไปใช้ระบบเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญปี 2540 ซึ่งเป็นจุดยืนเดียวกันกับพรรคเพื่อไทย
จุดยืนเช่นนี้ของพรรคที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดที่ยังคงแข่งขันอยู่ในระบบพรรคการเมืองเป็นการตัดสินใจ
ทางการเมืองที่เข้าใจได้และมีเหตุมีผล เนื่องจากพรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคการเมืองใหญ่ของไทยมา
ยาวนานกว่าสองทศวรรษเคียงคู่กับพรรคเพื่อไทย (ย้อนไปตั้งแต่สมัยพรรคไทยรักไทยและ
พลังประชาชน) นับตั้งแต่มีการน าระบบเลือกตั้งแบบบัตร 2 ใบที่นับคะแนนแบบคู่ขนานโดยมีบัตร
บัญชีรายชื่อ ท าให้การเมืองไทยเคลื่อนเข้าสู่ระบบพรรคใหญ่ 2 พรรค โดยพรรคที่ได้ประโยชน์มาก
ที่สุดจากกติกานี้คือ พรรคประชาธิปัตย์และพรรคเพื่อไทย ทั้งสองพรรคได้คะแนนและที่นั่งในสัดส่วน
ที่มากทั้งในระบบเขตและระบบบัญชีรายชื่อเหนือกว่าพรรคการเมืองที่เหลือในระบบ จนท าให้การ
เมืองไทยกลายสภาพเป็นการช่วงชิงความนิยมระหว่างสถาบันพรรคการเมืองสองสถาบันเท่านั้น
ระบบเลือกตั้งที่เน้นทั้งคนทั้งพรรคท าให้พรรคการเมืองเก่าแก่อย่างพรรคประชิปัตน์ที่สถาบันพรรค
มีประวัติศาสตร์ยาวนาน แบรนด์พรรคเป็นที่รู้จักจดจ า และมีกลุ่มนักการเมืองที่ครองต าแหน่ง
60 “‘บัตร 2 ใบ’ พรรคใหญ่สมประโยชน์ โดดเดี่ยว ‘ก้าวไกล-ภูมิใจไทย’,” กรุงเทพธุรกิจ, 16 มิ.ย. 2564; “ส.ส.
ก้าวไกล ชี้แก้ระบบเลือกตั้ง เพื่อไทย-พปชร. กินรวบ,” ไทยพีบีเอส, 8 ก.ย. 2564; “เลือกตั้งบัตร 2 ใบ 3 พรรคใหญ่
ตีปีก เพื่อไทยแลนด์สไลด์?” ฐานเศรษฐกิจ, 12 ก.ย. 2564.
61 “ความแตกแยกในประชาธิปัตย์,” ผู้จัดการออนไลน์, 23 พ.ค. 2562; “สารพัดสาเหตุขัดแย้งภายในประชาธิปัตย์,”
ไทยโพสต์, 21 ก.ค. 2563; “ขัดแย้ง แตกแยก เกิดขึ้นในประชาธิปัตย์กับความพ่ายแพ้,” ข่าวสด, 9 มี.ค. 2564.

