Page 63 - 23464_Full text
P. 63

62



                   รัฐธรรมนูญ ก็มีทั้งวุฒิสมาชิกที่สนับสนุนสูตรหาร 100 และบางส่วนที่สนับสนุนสูตรหาร 500 สุดท้าย
                   ในการพิจารณาวาระ 3 ซึ่งที่ประชุมรัฐสภาล่มเนื่องจากองค์ประชุมไม่ครบ พบว่ามี ส.ว. จ านวนหนึ่ง

                   ไม่เข้าร่วมประชุมเช่นเดียวกับ ส.ส. พรรคเพื่อไทย และส.ส. กลุ่มใหญ่ของพรรคพลังประชารัฐ

                          หากจะวิเคราะห์เหตุผลเบื้องหลังจุดยืนของแต่ละพรรคการเมืองพบว่า แต่ละกลุ่มสนับสนุน
                   การแก้ไขปรับเปลี่ยนกติกาที่คิดว่าจะส่งผลดีที่สุดต่อโอกาสในการชนะการเลือกตั้งของแต่ละพรรค
                   โดยพิจารณาจากแบบแผนผลการเลือกตั้งในอดีตจนถึงแนวโน้มที่ปรากฏในการเลือกตั้งปี 2562

                          ดังที่กล่าวไปข้างต้นว่าพรรคเพื่อไทยมีจุดยืนที่ชัดเจนและคงเส้นคงวาที่สุด ซึ่งเป็นเรื่องที่
                   เข้าใจได้จากกรอบวิเคราะห์เชิงสถาบันทางการเมือง (institutionalism) และกรอบวิเคราะห์แบบ

                   ทางเลือกที่มีเหตุล (rational choice) เนื่องจากพรรคเพื่อไทยเป็นพรรคการเมืองใหญ่อันดับที่หนึ่งใน
                   การเลือกตั้งของไทยและชนะการเลือกตั้งแบบเสียงข้างมากเด็ดขาดมาโดยตลอดภายใต้ระบบเลือกตั้ง
                   ผสมแบบเสียงข้างมากที่ริเริ่มน ามาใช้ครั้งแรกในสังคมไทยในการออกแบบรัฐธรรมนูญปี 2540 ภายใต้
                   ระบบบัตร 2 ใบที่นับคะแนนแยกกันระหว่างคะแนนในระบบเขตกับคะแนนในระบบบัญชีรายชื่อ

                   ท าให้พรรคการเมืองใหญ่ที่มีทรัพยากรแข็งแรงและฐานเสียงกว้างขวางอย่างเพื่อไทยได้เปรียบ
                   เนื่องจากมีนโยบายและแบรนด์พรรคที่เป็นที่นิยมจึงได้คะแนนในระบบบัญชีรายชื่อมาก และ
                   มีผู้แทนที่มีฐานเสียงเข้มแข็งในระบบเขตโดยเฉพาะในภาคอีสานและภาคเหนือท าให้ชนะเลือกตั้งใน
                   การแข่งขันผู้แทนเขตมาอย่างเป็นกอบเป็นก า เมื่อรวมที่นั่งจากทั้งสองระบบเข้าด้วยกันพรรคเพื่อไทย

                   จึงชนะเลือกตั้งโดยได้ที่นั่งเกือบครึ่งหนึ่งหรือเกินครึ่งหนึ่งของสภามาโดยตลอดในช่วงการเลือกตั้งปี
                                                                   54
                   2544-2554 ที่ประเทศไทยใช้ระบบผสมแบบเสียงข้างมาก  กติการการเลือกตั้งแบบระบบผสมเสียง
                   ข้างมากจึงเป็นระบบที่ทั้งพรรคเพื่อไทยคุ้นเคย ถนัด และชนะการเลือกตั้งมาโดยตลอด นอกจากนี้

                   ระบบผสมแบบเสียงข้างมากเลือกตั้งยังเป็นระบบที่ออกแบบมาเพื่อท าให้พรรคขนาดใหญ่ได้เปรียบ
                   โดยธรรมชาติ คือ พรรคขนาดใหญ่มักจะได้ที่นั่งเกินสัดส่วนคะแนนที่ตนเองได้รับ (ดูตารางที่ 7)

                          ในขณะที่ระบบเลือกตั้งจัดสรรปันส่วนผสมที่มีบัตรใบเดียวท าให้พรรคขนาดใหญ่อย่าง
                   เพื่อไทยเสียเปรียบ เนื่องจากภายใต้ระบบนี้จะน าคะแนนทั้งหมดจากระบบเขตมาค านวณหา จ านวน
                   “ส.ส. พึงมี” ที่แต่ละพรรคจะได้รับ หลังจากนั้นจะจัดสรรที่นั่ง ส.ส. บัญชีรายชื่อให้แต่ละพรรค

                   โดยหักลบจากจ านวน ส.ส. เขตที่พรรคนั้นชนะเลือกไปแล้ว พรรคการเมืองขนาดใหญ่ที่มักจะชนะ
                   เลือกตั้งในเขตเลือกตั้งจ านวนมาก จึงมีโอกาสน้อยมากหรือไม่มีเลยที่จะได้ที่นั่งส.ส. บัญชีรายชื่อ
                   ซึ่งหากพิจารณาจากผลการเลือกตั้งในอดีตย่อมเข้าใจได้ว่าเหตุใดพรรคเพื่อไทยจึงมีเหตุผบที่จะ
                   ต้องการเปลี่ยนแปลงระบบเลือกตั้งแบบจัดสรรปันส่วนผสมกลับไปเป็นระบบเลือกตั้งแบบรัฐธรรมนูญ

                   ปี 2540 เพราะพรรคเพื่อไทย (ตั้งแต่สมัยยังเป็นพรรคไทยรักไทยและพลังประชาชน) ชนะเลือกตั้งใน
                   ระบบเขตในสัดส่วนที่ค่อนข้างสูงคือเกือบครึ่งหนึ่งหรือเกินครึ่งของจ านวนที่นั่งในระบบเขตมาโดย
                   ตลอด ดังนี้ การเลือกตั้ง 2544 ไทยรักไทยชนะ ส.ส. เขต 200 ที่นั่ง, การเลือกตั้ง 2548 ไทยรักไทย
                   ชนะ 310 ที่นั่ง, การเลือกตั้ง 2550 พลังประชาชนชนะ 199 ที่นั่ง, และการเลือกตั้ง 2554 เพื่อไทย

                   ชนะ 204 ที่นั่ง ซึ่งหมายความว่าในระบบจัดสรรปันส่วนผสมหากเพื่อไทยไม่ได้คะแนนรวมทั้งประเทศ


                   54  ประจักษ์ ก้องกีรติ, ระบบเลือกตั้งเพื่อลดความขัดแย้งและส่งเสริมคุณภาพประชาธิปไตย, น.117-134; Somchai
                   Phatharathananunth, “The Thai Rak Thai Party and Elections in North-eastern Thailand,” Journal
                   of Contemporary Asia, 38: 1 (2008): 106-123; Allen Hicken, “Party Fabrication: Constitutional Reform
                   and the Rise of Thai Rak Thai,” Journal of East Asian Studies, 6 (2006): 381-407.
   58   59   60   61   62   63   64   65   66   67   68