Page 43 - 23154_Fulltext
P. 43

38


                       พัฒนาการที่ส าคัญของระบบรัฐสภาเดนมาร์กเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1953 ซึ่งมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบของ

               ระบบรัฐสภา จากระบบสองสภา (bicameralism) ไปสู่ระบบสภาเดี่ยว (unicameralism) โดยยุบสภาสูง
               นอกจากนี้ ยังมีการแก้ไขกฎหมายเลือกตั้งโดยก าหนดเกณฑ์คะแนนขั้นต่ า (threshold) เป็น 2% เพื่อรองรับความ
               หลากหลายของพรรคการเมืองที่จะสะท้อนความเป็นพหุนิยมในรัฐสภา ประกอบกับธรรมเนียมปฏิบัติที่ไม่เป็น

               ทางการว่าด้วย “ระบบรัฐสภาเชิงลบ” (negative parliamentarism) กล่าวคือ รัฐธรรมนูญไม่ได้ก าหนดตายตัวใน
               ระเบียบขั้นตอนการจัดตั้งรัฐบาล หากแต่มีก าหนดไว้เพียงแค่ว่ารัฐบาลต้องลาออกหากเสียงข้างมากของรัฐสภา

               ลงคะแนนเสียงไม่ไว้วางใจเป็นส่วนมาก ผลลัพธ์ที่ตามมาท าให้เกิดธรรมเนียมปฏิบัติใหม่ตามมาสามประการ ได้แก่
                       1)  รัฐบาลสามารถอยู่ในต าแหน่งต่อไปได้แม้ว่าจะแพ้การลงคะแนนในประเด็นส าคัญของรัฐสภา สะท้อน

                          ให้เห็นว่าการคุมเสียงข้างมากในรัฐสภาไม่ได้ส่งผลต่อการกดดันให้รัฐบาลต้องลาออกเสมอไป
                       2)  การต่อรองกับพรรคการเมืองในสภายังคงมีความจ าเป็นเพื่อที่จะผ่านงบประมาณส าคัญออกมาใช้

                          ความสัมพันธ์เชิงอ านาจในรัฐสภาจึงเป็นในลักษณะที่ยังคงต้องประนีประนอมกันภายใต้การแข่งขันที่
                          สูงจากการที่พรรคการเมืองมีหลากขั้วทางอุดมการณ์ในสภา
                       3)  กระแสการเกิดรัฐบาลเงาในช่วงทศวรรษ ค.ศ. 1980s เป็นต้นมา เนื่องจากพรรคฝ่ายค้านรวมตัวกัน

                          เป็นเสียงข้างมากในรัฐสภา เป็นเหตุให้เกิดการจัดความสัมพันธ์เชิงอ านาจใหม่ที่พรรคที่ไม่ได้เป็น
                          รัฐบาลกลับมีอ านาจต่อรองเพื่อการปกครองเทียบเท่ารัฐบาล (Damgaard and Svensson, 1989)


                       กล่าวโดยสรุป กลไกที่รัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1953 ของเดนมาร์กได้วางเอาไว้นั้นก่อเกิดหมุดหมายที่มีนัยส าคัญ

               ต่อพัฒนาการของความสัมพันธ์เชิงอ านาจของระบบรัฐสภาของเดนมาร์ก ได้แก่ ระบบเลือกตั้งแบบสัดส่วนที่
               อ านวยต่อการเกิดหลายพรรคการเมืองในสภา และการที่เปลี่ยนรูปแบบของรัฐสภาสภาให้เป็นระบบสภาเดี่ยว

               ส่งผลให้เกิดความสัมพันธ์เชิงอ านาจที่พรรคการเมืองในสภาต้องแสวงหาความร่วมมือภายใต้การแข่งขันกันสูง ทว่า
               การเกิดรัฐบาลเสียงข้างน้อยก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการท างานของรัฐบาลตราบเท่าที่รัฐบาลยังสามารถ

               ประนีประนอมเพื่อให้งบประมาณสามารถผ่านความเห็นชอบของสภา เช่นเดียวกับการประนีประนอมเพื่อให้รอด
               พ้นจากการลงมติไม่ไว้วางใจ ซึ่งหากเสียงไม่เพียงพอจะส่งผลต่อการพ้นจากต าแหน่งของรัฐมนตรีตามที่รัฐธรรมนูญ

               ก าหนดไว้ นอกจากนั้นการกดดันจากภายนอกรัฐสภาเข้ามามีบทบาทส าคัญมากขึ้นในการตัดสินใจทางการเมือง ไม่
               ว่าจะเป็นประชาชน ขบวนการทางสังคม หรือสื่อมวลชน แต่การตัดสินใจของรัฐบาลยังคงด าเนินต่อไปได้อย่าง
               อิสระตราบเท่าที่ไม่ได้เป็นการแทรกแซงจากองค์การระหว่างประเทศที่มีอ านาจระดับภูมิภาคอย่างสหภาพยุโรป



                       โครงสร้างอ านาจและหน้าที่: มิติความสัมพันธ์เชิงอ านาจ


                       ในมิติความสัมพันธ์เชิงอ านาจของรัฐสภาเดนมาร์ก สามารถพิจารณาได้ 3 ประเด็น ได้แก่
                       1) เงื่อนไขของการยุติบทบาทของรัฐบาลที่ก าหนดไว้ในรัฐธรรมนูญเดนมาร์ก ค.ศ. 1953 ได้มีการก าหนด

               เงื่อนไขของการยุติการท างานของรัฐบาลหรือรัฐมนตรีไว้สองเงื่อนไขดังต่อไปนี้
   38   39   40   41   42   43   44   45   46   47   48