Page 42 - 23154_Fulltext
P. 42
37
3.1 เดนมาร์ก
พัฒนาการทางประวัติศาสตร์
ประวัติศาสตร์ทางการของรัฐสภาเดนมาร์ก (Folketing) ได้กล่าวถึงจุดตั้งต้นของระบอบประชาธิปไตยใน
เดนมาร์กว่ามีพัฒนาการมานับตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 หลังจากเกิดการต่อต้านระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ซึ่ง
ประชาชนเรียกร้องเสรีภาพในการมีส่วนร่วมทางการเมืองผ่านการเลือกตั้ง ทั้งการเมืองระดับท้องถิ่นและการเมือง
ระดับชาติ หมุดหมายส าคัญของการเปลี่ยนผ่านไปสู่ประชาธิปไตยในเดนมาร์กอยู่ที่การขยายสิทธิเลือกตั้งเป็นการ
ทั่วไป (universal suffrage) ผ่านการก าหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1849 นอกจากนี้ ระบบเลือกตั้งแบบสัดส่วน
(proportional representation: PR) ที่ใช้ในการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภาเดนมาร์ก ก็ยังเป็นกลไกเชิงสถาบันที่สร้าง
หลักประกันความเป็นพหุนิยมของอัตลักษณ์ที่หลากหลายของแต่ละกลุ่มทางการเมือง (Folketing, 2013)
ในงานศึกษาทางวิชาการด้านพัฒนาการของระบบรัฐสภาเดนมาร์ก Damgaard (2004) ได้เสนอข้อ
ถกเถียงว่า หมุดหมายส าคัญของการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภาของเดนมาร์กนั้นอยู่ในช่วง
สงครามโลกครั้งที่ 2 โดยมีหลักการส าคัญ 3 ประการที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนผ่านทางการเมืองให้รัฐสภาเดนมาร์กมี
ความเป็นประชาธิปไตยมากยิ่งขึ้น ได้แก่
1) รัฐสภาต้องสามารถเป็นหลักประกันให้แก่เสียงข้างน้อยในสภาไม่ให้ถูกกดทับโดยความคิดเห็นของกลุ่ม
เสียงข้างมากในรัฐสภา โดยยกตัวอย่างการที่เดนมาร์กประสบความส าเร็จในการสนับสนุนให้การตั้งรัฐบาลเสียงข้าง
น้อยสามารถปฏิบัติงานได้จริง สอดคล้องกับค าอธิบายของ Strøm (1990) ที่ตั้งข้อสังเกตว่า กรณีของเดนมาร์ก
การที่รัฐบาลเสียงข้างน้อยเกิดขึ้นได้ก็เพราะพฤติกรรมของพรรคการเมืองมีการแข่งขันกันสูง เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว
รัฐสภาที่มีความสัมพันธ์เชิงอ านาจในลักษณะแข่งขันกันอย่างมาก รวมถึงแข่งขันในการเลือกตั้งก็สูง สิ่งเหล่านี้จึง
สะท้อนบรรยากาศที่อ านวยต่อการเกิดรัฐบาลเสียงข้างน้อยที่สามารถปฏิบัติพันธกิจทางการเมืองได้จริงเป็นอย่างดี
ประกอบกับในทางสถิติเองก็แสดงให้เห็นว่าเดนมาร์กประสบความส าเร็จในการสถาปนาและท างานของรัฐบาล
เสียงข้างน้อยมาได้ตลอดในห้วงระยะเวลาสองทศวรรษ ค.ศ. 1950s และ 1960s หลังจากนั้นรัฐบาลเสียงข้างน้อย
ก็เกิดขึ้นบ้างในทศวรรษ ค.ศ. 1990s แต่ไม่บ่อยอย่างมีนัยส าคัญเทียบเท่ากับสองทศวรรษในข้างต้น
2) การลดอ านาจของพรรคการเมืองฝั่งสถาปนาซึ่งมีอ านาจครอบง าสภา เพราะไม่เพียงแต่การแข่งขันของ
พรรคเสียงข้างน้อยที่สูงยิ่งขึ้น ยังมีปัจจัยแทรกแซงจากภายนอกอันส่งผลต่อการตัดสินใจทางการเมืองด้วย
ตัวอย่างเช่น สถาบันตุลาการ สื่อมวลชน บรรษัทข้ามชาติ ตลอดจนสหภาพยุโรป เป็นต้น ซึ่งปัจจัยเหล่านี้เป็นได้ทั้ง
ประโยชน์ในแง่ของการสนับสนุนการตัดสินใจของประชาชนในการมีส่วนร่วมทางการเมือง ทว่าก็เปิดทางให้เกิด
การควบคุมจากภายนอกรัฐสภาได้เช่นกัน เช่น การประกาศใช้มาตรการของสหภาพยุโรป เป็นต้น
3) ต้องมีการสร้างข้อจ ากัดที่ใช้ได้โดยทั่วไปแก่ตัวแสดงที่เกี่ยวข้องกับรัฐสภา
ทั้งสามข้อนี้จึงเป็นเหตุผลที่ Damgaard สนับสนุนความสัมพันธ์กับการเปลี่ยนผ่านทางการเมืองด้วยการ
จัดความสัมพันธ์เชิงอ านาจในระบบรัฐสภาใหม่ว่าเป็นหมุดหมายของความตั้งมั่นของประชาธิปไตยด้วยระบบ
รัฐสภา