Page 79 - kpi22237
P. 79
73
กรณีของพรรคพลังประชารัฐ ที่มักถูกนิยามโดยสื่อมวลชนว่าเป็น “พรรคเฉพาะกิจ” ของกลุ่มนักการเมือง
ที่มีฐานเสียงในการเลือกตั้งหลายกลุ่มมารวมกันกับกลุ่มผู้มีอ านาจหลังจากการรัฐประหารปี พ.ศ. 2557
เพื่อเอาชนะเลือกตั้งในปี พ.ศ. 2562 พบว่าพรรคประชารัฐก็พบปัญหาในการปฏิบัติในระดับพื้นที่เช่นเดียวกัน
เพราะผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งมาจากหลายกลุ่มก้อนทางการเมืองที่มี “คนของตัวเอง” ในการส่งเข้าแข่งขัน
เลือกตั้งอยู่แล้ว ส่งผลให้นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐในช่วงปี พ.ศ. 2561 ต้องปรับ
แผนการสรรหาผู้สมัครรับเลือกตั้งใหม่ ด้วยการเปลี่ยนมาใช้วิธีการเลือกตั้งขั้นต้นกับการใส่ชื่อบัญชีนายกรัฐมนตรี
แทนเพื่อให้เกิดเอกภาพภายในพรรค โดยนายสนธิรัตน์กล่าวว่า
“การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการเลือกตั้งด้วยการกาบัตรใบเดียว ในบัตรใบเดียวต้องเลือก
ถึง 3 อย่าง 1.ตัวผู้สมัคร 2.พรรค 3.นายกฯ พรรคจึงต้องเลือกคนที่ประชาชนต้องการ
มากที่สุด และมีความเป็นไปได้จะท าไพรมารีโหวตคัดบุคคล 3 รายชื่อในบัญชีนายกฯ
ของพรรค เพื่อวัดความนิยมจากประชาชน และขณะนี้พรรคต้องมีความพร้อมในเรื่อง
นโยบายหาเสียง เนื่องจากเหลือเวลาอีกไม่นาน” (Nation 2561ก)
กรณีของพรรคอนาคตใหม่ แม้ว่าจะเป็นพรรคการเมืองที่มีนโยบายหาเสียงค่อนข้างก้าวหน้า
(progressive) และให้การตอบรับกับกระบวนการสรรหาผู้สมัครแข่งขันรับเลือกตั้งด้วยวิธีการเลือกตั้งขั้นต้นเป็น
อย่างดี เพราะมีการหลักการดังกล่าวไปใช้ในบางพื้นที่ อย่างไรก็ดี ด้วยการที่เป็นพรรคการเมืองใหม่ ผู้สมัคร
เข้าแข่งขันรับเลือกตั้งจึงยังไม่เกิดเอกภาพในการแข่งขัน จนน าไปสู่ปัญหา เช่น กรณีการสรรหาผู้สมัครรับเลือกตั้ง
พรรคอนาคตใหม่ จังหวัดล าปาง เขต 1 ระหว่างฑิพาฎีพ์ ปวีณาเสถียร และณิฏฌาพัทน์ แป้นแก้ว ที่พบว่าผู้ชนะใน
การสรรหาภายในพรรคคือณิฏฌาพัทน์ แป้นแก้ว แต่พรรคอนาคตใหม่กลับไม่ส่งลงสมัครและได้ตัดสินใจไปเลือก
ฑิพาฎีพ์ ปวีณาเสถียร ลงแข่งขันเลือกตั้งแทนเพราะได้รับกระแสตอบรับจากสื่อและสังคมมากกว่า ซึ่งณิฏฌาพัทน์
กล่าวกับส านักข่าวท้องถิ่นว่า “ทุกคนในส านักพรรคกังวลว่าจังหวัดล าปางจะไม่สามารถส่งได้ เพราะสมาชิกมีน้อย
เหลือเกิน จึงต้องตัดสินใจที่สงสมัคร โดยให้สมาชิกพรรคคัดเลือกไพรมารีโหวต ตนเองได้ 31 คะแนน ส่วนผู้สมัคร
อีกคนได้ 7 คะแนน เมื่อสอบถามเหตุผลก็ได้ค าตอบว่ากลัวเสียหน้า” (ลานนาโพสต์ 2562)
จากกรณีของพรรคอนาคตใหม่ท าให้เห็นถึงความขัดแย้งระหว่างผู้สมัครลงแข่งขันเลือกตั้งรายบุคคลที่เป็น
คนท้องถิ่น กับกรรมการบริหารพรรคในส่วนกลางที่พยายามรักษาฐานเสียงและแนวนโยบายการเลือกตั้งที่เน้นการ
สร้างกระแสในสื่อสาธารณะมากกว่าการท างานกับฐานเสียงในพื้นที่ เพราะเพื่อเป้าหมายระยะสั้นในการได้คะแนน
เสียงอย่างรวดเร็วของพรรคอนาคตใหม่ จึงท าให้เปิดความขัดแย้งดังกล่าว