Page 35 - kpi22237
P. 35

29


                       ดังนั้น ในแต่ละมลรัฐจะมีการคัดเลือกผู้เลือกตั้งในระหว่างปีที่มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีตามวิธีการที่
               แต่ละมลรัฐก าหนด ซึ่งวันเลือกตั้งคณะผู้เลือกตั้งนั้นมีการก าหนดไว้ให้จัดขึ้นในวันอังคารหลังวันจันทร์แรก

               ของเดือนพฤศจิกายน โดยแต่ละรัฐจะมีจ านวนของผู้เลือกตั้งเท่ากับจ านวนของวุฒิสมาชิกและสมาชิกสภาผู้แทน
               ราษฎรของรัฐของตนที่มีอยู่ในสภา ซึ่งปัจจุบันคณะผู้เลือกตั้งมีจ านวนทั้งหมด 538 คน ประกอบด้วยผู้เลือกตั้ง
               ตามจ านวนที่เท่ากับวุฒิสภา 100 คน รวมกับสภาผู้แทนราษฎร 435 คน และผู้เลือกตั้งจาก District of Columbia
               หรือ วอชิงตัน ดีซี อีก 3 คน รวมทั้งสิ้น 538 คน) และในวันเลือกตั้งประธานาธิบดีซึ่งประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งจะ

               มา ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีนั้นจะเป็นการที่ประชาชนผู้มีสิทธิออกเสียง
               เลือกตั้งมาลงคะแนนเสียงเลือก “ผู้เลือกตั้ง” ที่สัญญาว่าจะให้การสนับสนุนผู้สมัครชิงต าแหน่งประธานาธิบดีที่ตน
               เลือกในแต่ละรัฐ โดยการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งดังกล่าวจะอาศัยเสียงข้างมากธรรมดา (simple majority)
               กล่าวคือ ถ้าผู้สมัครชิงต าแหน่งประธานาธิบดีคนใดได้คะแนนเสียงข้างมากจากประชาชนในรัฐนั้น ผู้สมัคร

               ชิงต าแหน่งประธานาธิบดีคนนั้นจะได้รับคะแนนเสียงของผู้เลือกตั้งทั้งหมดจากรัฐนั้น หรือที่เรียกว่า “ผู้ชนะได้รับ
               คะแนนเสียงทั้งหมด” (the winner takes all) และผู้ที่จะได้รับเลือกให้ด ารงต าแหน่งประธานาธิบดีจะต้องได้รับ
               คะแนนเสียงจากผู้เลือกตั้งเกินกึ่งหนึ่งของคณะผู้เลือกตั้งทั้งหมด คือ 270 คะแนนขึ้นไป จาก 538 คะแนน
               ซึ่งหลังจากประชาชนได้ลงคะแนนเสียงในวันเลือกตั้งประธานาธิบดีแล้ว ผู้เลือกตั้งจะเข้าร่วมประชุม เพื่อท าการ

               ลงคะแนนเสียงเลือกผู้ที่จะได้ด ารงต าแหน่งประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีในภายหลัง ซึ่งกฎหมายในระดับ
               สหรัฐได้ก าหนดให้คณะผู้เลือกตั้งต้องลงคะแนนเลือกประธานาธิบดีในวันจันทร์หลังวันพุธที่สองของเดือนธันวาคม
               และรัฐสภาก าหนดให้มีการนับคะแนนที่คณะผู้เลือกตั้งได้ลงคะแนนเลือกตั้งประธานาธิบดีแล้วนั้นในวันที่ 6

               ของเดือนมกราคมก่อนที่จะมีการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ทั้งนี้ การลงคะแนนเสียงของคณะผู้เลือกตั้งเพื่อ
               เลือกผู้ด ารงต าแหน่งประธานาธิบดี จะเป็นไปตามคะแนนเสียงส่วนใหญ่ของประชาชนในมลรัฐของตน กล่าวคือ
               คณะผู้เลือกตั้ง จะถูกจ ากัดโดยวัฒนธรรมทางการเมืองและเสียงข้างมากของประชาชนในแต่ละมลรัฐให้ลงคะแนน
               เสียงเลือกตั้งให้กับผู้สมัครชิงต าแหน่งประธานาธิบดีในนามของพรรคตนที่ได้รับเสียงข้างมากจากประชาชนของ
               มลรัฐของตนเท่านั้น ด้วยเหตุนี้จึงมักจะทราบผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีตั้งแต่วันที่ประชาชนลงคะแนนเสียง

               เลือกตั้งประธานาธิบดีเสร็จสิ้นแล้วนั่นเอง (พรสันต์ และ มานิตย์ 2552, 91-94. )
                       โดยสรุปจะเห็นได้ว่ากระบวนการเลือกตั้งขั้นต้นเป็นกระบวนการที่ส าคัญอย่างมากในสหรัฐอเมริกา

               ดังจะเห็นได้จากจ านวนมลรัฐที่ใช้วิธีการในการเลือกตั้งขั้นต้นในการคัดเลือกผู้สมัครรับเลือกตั้งในต าแหน่งต่างๆ
               โดยเฉพาะการคัดเลือกผู้สมัครเพื่อชิงต าแหน่งประธานาธิบดี อันเป็นผลมาจากการเรียกร้องความมีส่วนร่วมใน
               กระบวนการคัดเลือกผู้สมัครของพรรคการเมือง ตลอดจนความล้มเหลวของกระบวนการคัดเลือกผู้สมัคร

               รับเลือกตั้งของพรรคในอดีตที่มีการรวมอ านาจในการตัดสินใจอยู่ที่ผู้บริหารของพรรคการเมืองเพียงกลุ่มเดียว
               กระบวนการเลือกตั้งขั้นต้นในปัจจุบันจึงได้กลายมาเป็นหนึ่งในกระบวนการส าคัญของเหล่าผู้สมัครในการรวบรวม

               เสียงสนับสนุนจากประชาชนและตัวแทนผู้ลงคะแนนในการประชุมระดับชาติ และหากผู้สมัครคนใดสามารถชนะ
               ในการเลือกตั้งขั้นต้น โดยได้เสียงสนับสนุนจากตัวแทนผู้ลงคะแนนโดยส่วนใหญ่จากจ านวนตัวแทนผู้ลงคะแนน
               ทั้งหมด ผู้สมัครคนนั้นก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้สมัครชิงต าแหน่งของพรรคอย่างไม่เป็นทางการ แม้ยังไม่มีการลงคะแนนใน

               ที่ประชุมก็ตาม เนื่องจากที่ประชุมในระดับชาติปัจจุบันถูกผูกมัดคะแนนโดยเสียงส่วนใหญ่ของประชาชนผ่าน
               ตัวแทนผู้ลงคะแนนจากการเลือกตั้งขั้นต้นอันเป็นการสะท้อนความนิยมของประชาชนต่อผู้สมัครคนนั้นๆ รวมไปถึง
   30   31   32   33   34   35   36   37   38   39   40