Page 201 - kpi21365
P. 201

77.34) ข้อค าถามที่ 1 (คิดเป็นร้อยละ 76.92) ข้อค าถามที่ 4 (คิดเป็นร้อยละ 75.55) ข้อค าถามที่ 5 (คิด
                     เป็นร้อยละ 75.41)  และค าถามที่ 3 (คิดเป็นร้อยละ 72.53)

                            ทั้งนี้ จากผลการวิจัยดังกล่าวซึ่งพบว่า ข้อค าถามที่ 2 มีระดับการขับเคลื่อนสู่การปฏิบัติอยู่ใน

                     ระดับสูงมากเป็นล าดับแรก โดยมีร้อยละของการขับเคลื่อนฯ เท่ากับ 77.34ซึ่งผลการวิจัยดังกล่าวเป็น
                     ผลมาจากการที่หน่วยงานภาครัฐได้จัดให้หน่วยงานมีการก าหนดหลักในการพิจารณาโทษทางวินัยของ

                     บุคลากรและแนวทางการด าเนินคดีทั้งทางอาญา และแพ่งของหน่วยงานให้มีความสอดคล้องกัน จึง

                     ส่งผลให้ข้อค าถามที่ 2 มีระดับการขับเคลื่อนสู่การปฏิบัติอยู่ในระดับสูงมากที่สุดเป็นล าดับแรก อย่างไร
                     ก็ตามผลการวิจัยดังกล่าวยังพบว่า ข้อค าถามที่ 3 มีระดับการขับเคลื่อนสู่การปฏิบัติอยู่ในล าดับสุดท้าย

                     โดยมีร้อยละของการขับเคลื่อนฯ เท่ากับ 72.53 ซึ่งผลการวิจัยดังกล่าวเป็นเพราะหน่วยงานภาครัฐยัง

                     ขาดการพัฒนาระบบการสืบเสาะและสอดส่องการทุจริตภายในหน่วยงานที่มีประสิทธิภาพและไม่เป็น
                     การละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของบุคลากร ซึ่งเป็นผลมาจากการที่หน่วยงานภาครัฐยังมีกฎหมายหลายฉบับ

                     ที่เป็นอุปสรรคต่อการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ เนื่องจากประเทศไทยมีการตรากฎหมาย (Regulation)

                     เป็นจ านวนมาก และประชาชนถูกบังคับให้ต้องรู้กฎหมาย ซึ่งไม่สามารถปฏิเสธว่าไม่รู้กฎหมายได้
                     ในขณะที่กฎหมายหลายฉบับล้าสมัย ไม่เหมาะสมกับพัฒนาการของโลก รวมถึงเจ้าหน้าที่ของรัฐมีการใช้

                     ช่องว่างของกฎหมายในการหาประโยชน์มิชอบบนความไม่รู้ข้อกฎหมาย ของประชาชน และโดยเฉาะ

                     อย่างยิ่งเรื่องระยะเวลาในการด าเนินคดีทางกฎหมายยังไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ การมีระยะเวลา
                     การด าเนินคดีที่ยาวนานก็ไม่ตอบโจทย์การแก้ไขปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ าในกระบวนการยุติธรรมและ

                     สิทธิมายชนและความเสมอภาค  ส่งผลให้ข้อค าถามที่ 3 มีระดับการขับเคลื่อนสู่การปฏิบัติอยู่ในล าดับ

                     สุดท้าย


                             ผลกำรวิจัยเชิงปริมำณแม้ว่ำจะมีระดับกำรด ำเนินงำนในประเด็นนี้สูง ทว่ำผลกำรวิจัยเชิง
                     คุณภำพกลับยังพบปัญหำ ดังค ำกล่ำวที่ว่ำ


                                “...ยังมีกฎหมำยหลำยฉบับที่ยังไม่ได้รับกำรแก้ไข กฎหมำยหลำยฉบับเป็นอุปสรรคต่อกำร
                            ขับเคลื่อนยุทธศำสตร์ชำติ เช่น รัฐควรกำรเตรียมแผนกำรทบทวนควำมเหมำะสมของกฎหมำย
                            ที่ไม่เอื้อต่อกำรป้องกันกำรทุจริต เรื่องควำมเหลื่อมล้ ำ เพรำะ ระบบกฎหมำยไทยเป็นสำเหตุ

                            หนึ่งที่ท ำให้เกิดปัญหำคอร์รัปชันขึ้นในสังคม เนื่องจำกระบบ สังคมและวัฒนธรรม ระบบ
                            เศรษฐกิจ ระบบกำรเมือง และสิ่งแวดล้อมรอบตัวมนุษย์ในสังคมเปลี่ยนไปอย่ำงมำก ปัญหำที่
                            เกิดขึ้นในสมัยหนึ่งได้รับกำรแก้ไขไปได้ด้วยควำมเรียบร้อย ต่อมำปัญหำอื่นๆ ก็เกิดขึ้นตำมมำ
                            อีกอย่ำง ไม่มีที่สิ้นสุด เพียงแต่ในประเทศที่พัฒนำได้วำงระบบต่ำงๆ ของสังคมไว้ดี มีควำม

                            มั่นคง ทำงด้ำนสังคม เศรษฐกิจ และกำรเมือง ควำมยืดหยุ่นในกำรรองรับปัญหำที่เกิดขึ้นย่อมมี
                            มำกกว่ำ โดยมีประเด็นปัญหำหลักคือ 1) ประเทศไทยมีกำรตรำกฎหมำย (Regulation) เป็น
                            จ ำนวนมำกและประชำชนถูกบังคับให้ต้อง รู้กฎหมำย ไม่สำมำรถปฏิเสธได้ 2 ) กฎหมำยหลำย
                            ฉบับล้ำสมัย ไม่เหมำะสมกับพัฒนำกำรของโลก 3 ) เจ้ำหน้ำที่ของรัฐใช้ช่องว่ำงของกฎหมำยใน



                      โครงการวิจัยการติดตามการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติสู่การปฏิบัติ :                182
                      ยุทธศาสตร์ชาติด้านการปรับสมดุลและการพัฒนาระบบบริหารจัดการภาครัฐ
   196   197   198   199   200   201   202   203   204   205   206