Page 51 - kpi21298
P. 51

ร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organization for Economic Co-operation and Development
                     : OECD) (จรัส สุวรรณมาลา, 2553 : 38)

                             ประเทศไทยได้ให้ความสำคัญกับการนำแนวคิดธรรมาภิบาลมาปรับใช้ในระบบราชการอย่าง

                     จริงจัง นับตั้งแต่ พ.ศ. 2538 ซึ่งเป็นช่วงที่ประเทศไทยได้รับแรงผลักดันอย่างมากจากกระแสโลกาภิวัตน์
                     ปัญหาเศรษฐกิจ และสังคม รวมถึงสภาวะการแข่งขันทางการค้าระหว่างประเทศในภูมิภาค ประเทศไทยจึง

                     จำเป็นต้องพัฒนา ปฏิรูปโครงสร้าง และวิธีการปฏิบัติของภาครัฐให้มีประสิทธิภาพอย่างจริงจังและต่อเนื่อง

                     ดังนั้น จึงมีการศึกษาและนำแนวคิดของธรรมาภิบาลมาผสมผสานกับรูปแบบการปกครองที่ใช้อยู่ และมีการ
                     ผลักดันให้เป็นหลักในการสร้างการปกครองที่ดีของประเทศ

                             จนกระทั่งปลาย พ.ศ. 2540 เมื่อประเทศไทยต้องประสบปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจและการเงินภาวะ

                     แวดล้อมและเงื่อนไขการกู้วิกฤติเศรษฐกิจ ทำให้รัฐบาลต้องหันมาให้ความสนใจประเด็นนี้อย่างจริงจัง โดย
                     ได้พิจารณาเห็นความจำเป็นที่ประเทศชาติต้องมีการบริหารกิจการบ้านเมืองและสังคมที่ดี ซึ่งเป็น

                     องค์ประกอบสำคัญในการบูรณะสังคมและประเทศ เพื่อพลิกฟื้นภาวะวิกฤติทางเศรษฐกิจ สร้างความ

                     เข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองของประเทศเพื่อสามารถรองรับกระแสการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ
                     ได้อย่างทันสถานการณ์ ส่งผลให้รัฐบาลได้มีหนังสือลงวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2540 ขอความร่วมมือจาก

                     มูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทยในการดำเนินการค้นคว้า วิจัย เพื่อเสนอแนะแนวทางที่

                     เหมาะสมทั้งในระยะสั้นและระยะยาวในการแก้ปัญหาวิกฤติทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น และเพื่อเสริมสร้างและ
                     พัฒนาประเทศให้มีความยั่งยืนถาวรโดยเร็ว

                             หลังจากนั้น ประเทศไทยได้ตรากฎหมายที่เกี่ยวข้องและกล่าวถึงธรรมาภิบาล เช่น

                     พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ 5), 2545  มาตรา 3/1 ได้วางหลักการว่า
                     “การบริหารราชการจะต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์สุขของประชาชนจนเกิดผลสัมฤทธิ์ต่อภารกิจของรัฐ ความ

                     มีประสิทธิภาพ ความคุ้มค่าเชิงภารกิจแห่งรัฐ การลดขั้นตอน การปฏิบัติงาน การลดภารกิจและยุบ เลิก

                     หน่วยงานที่ไม่จำเป็น การกระจายภารกิจ และทรัพยากรให้ท้องถิ่น การกระจายอำนาจการตัดสินใจ การ
                     อำนวยความสะดวกและสนองความต้องการของประชาชน”    ในส่วนของพระราชกฤษฎีกาว่าด้วย

                     หลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 ได้วางแนวทางในการปฏิบัติราชการเพื่อให้

                     บรรลุเป้าหมาย เพื่อให้การบริหารราชการเกิดผลสัมฤทธิ์ เกิดประโยชน์สุขต่อประชาชน เกิดความคุ้มค่า ไม่
                     มีขั้นตอนในการปฏิบัติงานเกินจำเป็น มีการปรับปรุงส่วนราชการและมีการอำนวยความสะดวกแก่

                     ประชาชน









                                                                                                                15
                                                         โครงการวิจัยพัฒนาฐานข้อมูลองค์ความรู้ด้านธรรมาภิบาล (Phase 2)
   46   47   48   49   50   51   52   53   54   55   56