Page 430 - kpi21190
P. 430
430
ข้อเสนอของ McFarland (อ้างถึงใน ธนพันธ์ ไล่ประกอบทรัพย์, 2557) มองว่า กระบวนการ ในรอบหลายปีที่ผ่านมา กระแสการพัฒนาเมืองอัจฉริยะได้รับการตอบรับที่ดีและมีการ
ในการกำหนดนโยบายไม่มีความแน่นอนสูงเพราะขึ้นอยู่กับปฏิสัมพันธ์ระหว่างตัวแสดงต่างๆ นำเสนอข่าวบ่อยครั้งผ่านสื่อต่าง ๆ มากมาย การนำเสนอเรื่องดังกล่าว มักเป็นไปในลักษณะของ
เข้ามาเกี่ยวข้องมากมาย อำนาจของแต่ละกลุ่มตัวแสดงเองก็แตกต่างกันตามไปด้วย นอกจากนี้ การกระจายแนวคิดการจัดตั้งบริษัทพัฒนาเมืองจังหวัดต่างๆ มากขึ้น ดังเช่น จังหวัดอุบลราชธานี
การนิยามผลประโยชน์มักเป็นไปในลักษณะของ อัตวิสัยสูง (subjective) คือ เป็นการนิยาม (วารีรักษ์ รักคำมูล และสุชัย เจริญมุขยนันท์, 2561) การนำเสนอโครงการต่างๆ ที่ถือเป็นส่วน
ผลประโยชน์ตามเป้าหมายหลักของกลุ่มนั่นเอง นอกจากนี้ข้อเสนอ “ทฤษฎีว่าด้วยความผันผวน หนึ่งของการพัฒนาเมืองแท้จริงแล้วอาจแฝงเร้นไปด้วยผลประโยชน์ทับซ้อนของผู้ถือหุ้นหรือไม่
(disturbance)” ของ Truman ในปี 1951 กล่าวถึง การรวมตัวกันของกลุ่มผลประโยชน์ว่าดำเนินไป เพราะด้วยทุนจดทะเบียนนับหลายล้านบาทนั้น ทำให้โอกาสเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของผู้ถือหุ้นของ
เพื่อตอบสนองต่อสภาวะความไม่แน่นอนทั้งทางด้านสังคม การเมือง และเศรษฐกิจ รวมถึงเพื่อ บริษัทเป็นไปได้ยาก และส่งผลให้เกิดการผลักดันประเด็นการพัฒนาอื่นๆ ได้ยากเช่นกัน
เป็นการรักษาผลประโยชน์แก่สมาชิกที่อยู่ในกลุ่มนี้ด้วย กลุ่มผลประโยชน์มีคุณลักษณะสำคัญ
อีกประการหนึ่ง คือ เป็นกลุ่มที่มีการแข่งขันกันสูง นั่นคือ ทรัพยากรที่มีอย่างจำกัด ส่งผลให้กลุ่ม เมื่อพิจารณาตามงานศึกษาของเอนก เหล่าธรรมทัศน์ (Laothamatas, 1992) เรื่อง
ผลประโยชน์ต่างก็จำเป็นที่จะต้องเข้าแข่งขันแย่งชิงทรัพยากรมาอยู่กับกลุ่มของตนให้ได้มากที่สุด “Business Associations and the New Political Economy of Thailand : From Bureaucratic
(ธนพันธ์ ไล่ประกอบทรัพย์, 2557) Polity to Liberal Corporatism” จะเห็นได้ว่า ในช่วงปลายทศวรรษ 1970 เป็นต้นมา สมาคม
ธุรกิจถือเป็นกลุ่มผลประโยชน์นอกระบบราชการ (Extra-bureaucratic interest groups) ที่มี
ส่วนข้อเสนอในปี 1994 ของแมคฟาแลนด์ (McFarland) ซึ่งเป็น “นักคิดสายพหุนิยมใหม่” อิทธิพลอย่างมากในการกำหนดนโยบายสาธารณะของไทยโดยเฉพาะในด้านเศรษฐกิจระดับ
กล่าวถึง ปัจจัยที่กำหนดบทบาทของกลุ่มผลประโยชน์ต่อกระบวนการกำหนดนโยบายสาธารณะ มหภาค ดังจะเห็นได้จากการมีดำริและผลักดันให้เกิดคณะกรรมการสำคัญอย่าง “คณะกรรมการ
มี 3 ประการ (อ้างถึงใน ธนพันธ์ ไล่ประกอบทรัพย์, 2557) นั่นคือ 1) การรักษาสถานภาพของ ร่วมภาครัฐบาลและเอกชน (กรอ.)” ทำให้การพลิกโฉม จากเดิมที่ภาคธุรกิจเอกชนเป็นแต่เพียง
กลุ่มผลประโยชน์ โดยการแสวงหาทรัพยากรและการผลักดันนโยบายสู่สังคม เพื่อให้สังคม ผู้นำแนวทางหรือนโยบายของรัฐบาลไปปฏิบัติมาสู่การเริ่มแทรกซึมเข้ามากำหนดนโยบายเอง
ยอมรับกลุ่มของตนและขยายความสนใจเพื่อเป็นเครือข่ายของกลุ่มต่อไป 2) การให้ความสำคัญ ซึ่งภาพเดิมตามงานศึกษาของระบบราชการไทยในช่วงก่อน 1970 (Riggs, 1966) แสดงให้เห็นว่า
กับบทบาทของภาครัฐ ซึ่งสายพหุนิยมใหม่มองว่ารัฐเป็นผู้ริเริ่มและกำหนดกฎเกณฑ์หรือนโยบาย ไทยเป็นรัฐไทยเป็นแบบ อำมาตยาธิปไตย (bureaucratic polity) ซึ่งการบริหารราชการแผ่นดิน
เพื่อให้ตัวแสดงอย่างกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ ได้เข้ามามีส่วนร่วม ซึ่งสายพหุนิยมมิได้ให้ความ ถูกครอบงำโดยข้าราชการประจำ ทหาร และเทคโนแครต โดยกลุ่มคนเหล่านี้จะมีอิทธิพลต่อ
สำคัญกับประเด็นนี้ 3) การให้ความสำคัญกับบทบาทของกลุ่มเคลื่อนไหวภาคประชาสังคม การริเริ่มนโยบายต่าง ๆ หากกลุ่มธุรกิจต้องการให้มีการออกนโยบายที่เอื้อต่อตนก็จะต้องเข้าหา
ซึ่งสายพหุนิยมใหม่มองว่าภาคประชาสังคมเองก็ถือเป็นอีกตัวแสดงหนึ่งที่มีความสำคัญต่อ กลุ่มข้าราชการและทหารเหล่านี้
การกำหนดนโยบาย ซึ่งการเคลื่อนไหวของภาคประชาสังคมมักผลักดันประเด็นเชิงนโยบายเฉพาะ
กลุ่มที่สนใจ แต่มักเป็นไปในลักษณะของการเปลี่ยนแปลงนโยบายในลักษณะค่อยเป็นค่อยไป งานศึกษาของเอนกข้างต้นเกี่ยวข้องกับกรอบแนวคิดเรื่องบรรษัทนิยม (corporatism)
ซึ่งถือเป็นชุดคำอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างรัฐและกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ รวมถึงนโยบายของรัฐ
3.2 แนวคิดชนชั้นนำ (Elitism) กล่าวคือ กลไกการกำหนดนโยบายสาธารณะมักจะมีตัวแทนจากกลุ่มผลประโยชน์ที่ผูกขาดทาง
ตามข้อเสนอของ Schattschneider (1960) มองว่า ผู้นำของกลุ่มเป็นผู้ก่อตั้งจึงมีฐานะ ธุรกิจเข้าร่วมด้วย ซึ่งความสัมพันธ์ของทั้งภาครัฐและธุรกิจมีลักษณะเท่าเทียมกัน หากข้อตกลง
ผู้ชี้นำทิศทางของกลุ่มผลประโยชน์ ในขณะที่สมาชิกเป็นผู้ตามเท่านั้น ไม่มีสิทธิ์นำเสนอแนวทาง ออกมาในลักษณะเช่นไรก็จะส่งผลต่อการนำไปปฏิบัติทั้งสองฝ่ายด้วย ทำให้แนวคิดอำมาต-
และอยู่ภายใต้การกำกับของผู้นำ นอกจากนี้กลุ่มผลประโยชน์ที่ถูกจัดตั้งขึ้นมานั้นก็มาจากผู้นำที่มี ยาธิปไตย (bureaucratic polity) ตามทัศนะของเอนกจึงไม่มีอีกแล้ว (Laothamatas, 1992;
ฐานอำนาจทางการเมืองและเศรษฐกิจอยู่แล้ว ไม่ได้เกิดลอยๆ มาจากธรรมชาติ จึงทำให้ลักษณะ พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์, 2559)
ของกลุ่มผลประโยชน์มิได้เป็นพหุนิยมแต่เป็นคณาธิปไตย นอกจากนี้ข้อเสนอของแดนิเลียนและ บรรษัทนิยมยังสามารถอธิบายปรากฏการณ์เช่นนี้ได้ เพราะการกำหนดนโยบายนี้จำเป็นต้อง
เมื่อนำมาพิจารณาในกรณีของการกำหนดนโยบายเมืองอัจฉริยะจะเห็นได้ว่า แนวคิดเรื่อง
บทความที่ผ่านการพิจารณา กลุ่มผลประโยชน์ โดยเขาตั้งสมมติฐานว่า สื่อมวลชนมักนำเสนอประเด็นทางด้านนโยบายของ อาศัยการผลักดันจากภาคธุรกิจเป็นสำคัญ การขับเคลื่อนเมืองในยุค Thailand 4.0 จำเป็นต้อง
เพจ Danielian & Page (1994) ที่ต้องการทดสอบทฤษฎีพหุนิยมว่าด้วยความเท่าเทียมกันของ
กลุ่มผลประโยชน์ขนาดใหญ่ ในขณะเดียวกันกลับเพิกเฉยข้อเสนอของกลุ่มผลประโยชน์ที่มีภาพ
อาศัยการวางโครงข่ายอินเทอร์เน็ต เพื่อเชื่อมโยงกระบวนการต่างๆ ที่สามารถตอบสนองต่อ
เชิงลบ โดยหากอยู่บนสมมติฐานเช่นนี้จะเห็นได้ว่ากลุ่มผลประโยชน์ทุกกลุ่มจะต้องสามารถ
การใช้ชีวิตของคนในเมืองได้จึงจำเป็นต้องใช้งบประมาณเป็นจำนวนมาก การผลักดันให้เกิด
นำเสนอประเด็นนโยบายเข้าสู่ความสนใจของผู้มีอำนาจได้อย่างเท่าเทียมกันหากแต่ในความเป็นจริง
การออกกฎหมายรองรับการจัดตั้งบริษัทพัฒนาเมืองจึงจำเป็นต้องใช้แรงผลักดันจากกลุ่มชนชั้นนำ
กลุ่มผลประโยชน์ที่มีอิทธิพลทางด้านเศรษฐกิจมากกว่าย่อมสามารถผลักดันได้ดีกว่ากลุ่มอื่นๆ
ท้องถิ่น