Page 96 - kpi20440
P. 96

KPI Congress 20th
           96
                    2018
              Thai Democracy on the Move




              กับการพัฒนาความเติบโตร่วมกันระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชนและภาคประชาชน (Asian Development Bank,

              1995; อรพินท์ สพโชคชัย, 2540; อมรา พงศาพิชญ์และคณะ, 2541; ธีรยุทธ บุญมี, 2541; ประเวศ วะสี, 2541;
              อานันท์ ปันยารชุน,2542; บวรศักดิ์ อุวรรณโณ, 2542; ไชยวัฒน์ ค�้าชู, 2545)


                      ประเทศไทยได้ให้ความส�าคัญกับการน�าแนวคิดธรรมาภิบาลมาปรับใช้ในระบบราชการอย่างจริงจัง

              นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2538 ซึ่งเป็นช่วงที่ประเทศไทยได้รับแรงผลักดันอย่างมากจากกระแสโลกาภิวัตน์ ปัญหา
              เศรษฐกิจ และสังคม รวมถึงสภาวะการแข่งขันทางการค้าระหว่างประเทศในภูมิภาค ประเทศไทยจึงจ�าเป็น

              ต้องพัฒนา ปฏิรูปโครงสร้าง และวิธีการปฏิบัติของภาครัฐให้มีประสิทธิภาพอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ดังนั้น
              จึงมีการศึกษาและน�าแนวคิดของธรรมาภิบาลมาผสมผสานกับรูปแบบการปกครองที่ใช้อยู่ และมีการผลักดัน

              ให้เป็นหลักในการสร้างการปกครองที่ดีของประเทศ


                      จนกระทั่งปลายปี พ.ศ. 2540 เมื่อประเทศไทยต้องประสบปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจและการเงินภาวะ
              แวดล้อมและเงื่อนไขการกู้วิกฤติเศรษฐกิจ ท�าให้รัฐบาลต้องหันมาให้ความสนใจประเด็นนี้อย่างจริงจัง โดยได้

              พิจารณาเห็นความจ�าเป็นที่ประเทศชาติต้องมีการบริหารกิจการบ้านเมืองและสังคมที่ดี ซึ่งเป็นองค์ประกอบ
              ส�าคัญในการบูรณะสังคมและประเทศ เพื่อพลิกฟื้นภาวะวิกฤติทางเศรษฐกิจ สร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจ

              สังคม และการเมืองของประเทศเพื่อสามารถรองรับกระแสการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ได้อย่างทันสถานการณ์
              ส่งผลให้รัฐบาลได้มีหนังสือลงวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2540 ขอความร่วมมือจากมูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อ

              การพัฒนาประเทศไทยในการด�าเนินการค้นคว้า วิจัย เพื่อเสนอแนะแนวทางที่เหมาะสมทั้งในระยะสั้นและ
              ระยะยาวในการแก้ปัญหาวิกฤติทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น และเพื่อเสริมสร้างและพัฒนาประเทศให้มีความยั่งยืน

              ถาวรโดยเร็ว จนในที่สุด ต่อมาคณะรัฐมนตรีได้มอบให้ส�านักงาน ก.พ. น�าผลการศึกษาและข้อเสนอแนะดังกล่าว
              มาจัดท�าบันทึกเรื่องการสร้างระบบบริหารกิจการบ้านเมืองและสังคมที่ดีเสนอต่อคณะรัฐมนตรี ซึ่งคณะรัฐมนตรี

              ได้มีมติเห็นชอบกับข้อเสนอแนะให้ออกเป็นระเบียบส�านักนายกรัฐมนตรีเพื่อให้ส่วนราชการถือปฏิบัติ เรียกว่า
              ระเบียบส�านักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการสร้างระบบบริหารกิจการบ้านเมืองและสังคมที่ดี พ.ศ. 2542 และเริ่ม

              มีผลบังคับใช้กับหน่วยงานของรัฐ ตั้งแต่ 11 สิงหาคม 2542 โดยมีหลักพื้นฐานของการบริหารกิจการบ้านเมือง
              และสังคมที่ดี 6 ประการ คือ 1) หลักนิติธรรม 2) หลักคุณธรรม 3) หลักความโปร่งใส 4) หลักความมีส่วนร่วม

              5) หลักความรับผิดชอบ และ 6) หลักความคุ้มค่า เมื่อประเทศไทยมีการปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน
              ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2545 ที่ได้แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 3/1 แห่ง

              พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2534 บัญญัติให้ก�าหนดหลักเกณฑ์และวิธีการ
       เอกสารประกอบการประชุมกลุ่มย่อยที่ 2  วิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 มาตรา 6 ก�าหนดไว้ว่าการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี เช่น การเกิด
              ปฏิบัติราชการเพื่อให้เกิดการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี ดังนั้นจึงมีการตราพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และ



              ประโยชน์สุขของประชาชน การบริหารงานอย่างมีประสิทธิภาพเกิดความคุ้มค่า (ราชกิจจานุเบกษา, 2546 : 2)


                      ประกอบกับก่อนหน้านั้นมีการตราพระราชบัญญัติก�าหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอ�านาจให้

              กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 ออกความตามมาตรา 284 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
              พ.ศ. 2540 ซึ่งก�าหนดหน้าที่ในการจัดบริการสาธารณะให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ส่งผลให้หน่วยงาน
   91   92   93   94   95   96   97   98   99   100   101