Page 40 - kpi19903
P. 40
14
เศรษฐกิจและสังคมกันมากขึ้นและงานหลาย ๆ ชิ้น ได้ค้นพบว่าไม่เพียงแต่ความเป็นเมืองหรือชนบทเท่านั้นที่มี
อิทธิพลต่อการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง หากแต่กระบวนการตัดสินใจของประชาชนอาจมีความซับซ้อนไปกว่า
นั้น งานวิจัยเกี่ยวกับการเมืองในชนบทให้ความเห็นว่าการเลือกตั้งของคนชนบทเป็นการคิดค านวณเรื่อง
ผลประโยชน์และโอกาสทางเศรษฐกิจในการพัฒนาตนเอง ซึ่งแสดงออกผ่านความสนใจที่มากขึ้นในเรื่อง
สวัสดิการหรือประโยชน์ที่ตนจะได้รับจากนโยบายของ พรรคการเมือง และการออกไปลงคะแนนเสียง
เลือกตั้งในระดับท้องถิ่นและระดับชาติ เพื่อเลือกผู้แทนมาท างานตามที่ตนเองคาดหวัง (จักรกริช สังขมณี,
2554a)
การศึกษาภาพในความคิดของคนไทยที่มีต่อกลุ่มการเมืองที่ต่างกัน พบว่าความสัมพันธ์ระหว่าง
ชาวบ้านกับพรรคการเมืองเป็นไปแบบระบบอุปถัมภ์ โดยชาวบ้านมองนักการเมืองว่าใจถึง พึ่งได้ เรียกมา
ใช้ได้ ท าให้ชาวบ้านมีความพึงพอใจ มีความรู้สึกว่าสามารถเข้าถึง และมีอ านาจในการต่อรอง และรู้สึกว่ามีที่
พึ่ง ท าให้ระบบอุปถัมภ์หรือระบบเกื้อหนุนนี้เกิดพลังที่ท าให้ชาวบ้านยังคงเลือกพรรคเพื่อไทย และการศึกษานี้
ยังพบแนวโน้มความเป็นภูมิภาคนิยมอย่างชัดเจน เช่น ชาวบ้านในหมู่บ้านเสื้อแดงจังหวัดอุดรธานีเลือกพรรค
เพื่อไทย เพราะพรรคเพื่อไทยเป็นตัวแทนของประชาชน ในภูมิภาคอีสาน ในการรักษาผลประโยชน์และ
เกื้อหนุนผลประโยชน์ให้กับประชาชนในภูมิภาค ในขณะที่ชาวบ้านกลุ่ม กปปส. สุราษฎร์ธานีก็แสดงความ
คิดเห็นว่า พรรคประชาธิปัตย์ดูแลชาวใต้ดีกว่าพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะราคาพืชผลทางการเกษตร ชาวบ้านจึง
อยากเลือกพรรคประชาธิปัตย์มาดูแลผลประโยชน์ในท้องถิ่น และภูมิภาคที่อยู่อาศัยของตน
งานวิจัยดังกล่าวได้ให้ข้อคิดเห็นว่า หากสถานการณ์ความเป็นภูมิภาคนิยมยังคงมีอยู่และด าเนินต่อไป
ทฤษฎีสองนคราประชาธิปไตยอาจจะจ าเป็นต้องปรับปรุงในเรื่องของการเปลี่ยน ตัวแทนทางการเมือง
(Political agents) จากเดิมระหว่างสังคมเมือง และสังคมชนบท ไปเป็นตัวแทนทางการเมืองระหว่างภูมิภาค
หนึ่งกับตัวแทนทางการเมืองอีกภูมิภาคหนึ่งแทน เช่น พรรคเพื่อไทยเป็นตัวแทนการเมืองของประชาชน
ภาคเหนือและภาคอีสาน ในขณะที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นตัวแทน ทางการเมืองของภาคใต้
ทั้งนี้เนื่องจากประชาชนเลือกพรรคการเมืองตามภูมิภาคนิยมเพื่อให้เกิดอรรถประโยชน์สูงสุดของ
ตัวเอง (อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ et al., 2559) เช่นเดียวกับการศึกษาทบทวนภูมิทัศน์การเมืองไทย ที่เสนอว่าการ
เปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและการเมืองในรอบยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมาได้ท าลายเงื่อนไขการด ารงอยู่ของระบบ
อุปถัมภ์ไปแล้ว “ชาวบ้าน” จึงไม่ใช่คน “โง่-จบ-เจ็บ” แต่รัฐต่างหากที่จัดหาทรัพยากรมาหล่อเลี้ยงชนบทใน
นามของนโยบายประเภทต่าง ๆ และผลงานของพรรคการเมืองจะเป็นตัวก าหนดผลการเลือกตั้งที่มี
ความส าคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ และแนวคิดที่ควรใช้ท าความเข้าใจสังคม การเมืองไทย ไม่ควรมองว่าชาวบ้านมี
ลักษณะที่เป็นผู้ถูกกระท า
ผลการวิจัย (อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ et al., 2559) ไม่พบว่าระบบอุปถัมภ์เป็นรากฐานของแนวคิดสอง
นคราประชาธิปไตย และพบว่าความแตกต่างระหว่างเมืองกับชนบทมีน้อยลงไปมาก ที่เสนอว่า คนเมืองเป็น
เสรีชนส่วนชาวบ้านเป็นผู้ใต้อุปถัมภ์ ท าให้คนเมืองมีบทบาทเป็นฐานนโยบาย ส่วนคนชนบทเป็นแค่ฐานเสียง
แต่ไม่ใช่ฐานนโยบาย โดยคณะวิจัยให้ความเห็นว่า ความแตกต่างที่แท้จริง เป็นความแตกต่างระหว่างคนซึ่งมี