Page 38 - kpi19903
P. 38

12



               3. ทฤษฎีทางสังคมวิทยา (Sociological Theory)
                       ทฤษฎีทางสังคมวิทยานี้จะอธิบายถึง กระบวนการเกิดขึ้นจากสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ สังคม

               และวัฒนธรรมของสังคมที่บุคคลนั้นเป็นสมาชิกอยู่ ซึ่งเป็นกระบวนการที่บุคคลถูกห้อมล้อมด้วยบรรยากาศ

               ทางการเมืองที่ประกอบไปด้วยหน่วยต่าง ๆ ของสังคม ตั้งแต่เด็กจนโต เช่น ครอบครัว เพื่อน และสื่อมวลชน
               ซึ่งอาจท าให้เกิดการกล่อมเกลาทางการเมืองและเกิดพฤติกรรมคล้อยตามได้

                       การขัดเกลาทางการเมือง (Political socialization) คือ การถ่ายทอดวัฒนธรรม ค่านิยมและบรรทัด

               ฐานของคนรุ่นใหม่ตามที่สังคมก าหนด (Almond & Verba, 1963) กระบวนการนี้น ามาซึ่งวัฒนธรรมทาง
               การเมืองแก่ประชาชน โดยถ่ายทอดวัฒนธรรม ค่านิยม บรรทัดฐาน ทางการเมือง จากรุ่นหนึ่งไปยังคนอีกรุ่น

               หนึ่ง อาจท าให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ปรับปรุงค่านิยมในแบบแผนของวัฒนธรรมทางการเมืองให้แตกต่างไป

               จากวัฒนธรรมทางการเมืองเดิม การกล่อมเกลาทางการเมืองนั้นสามารถเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาและตลอดชีวิต
               และยังมีลักษณะคล้ายคลึงกับอิทธิพลที่ได้รับจากสื่อต่าง ๆ

                       ครอบครัว เป็นตัวแทนของการขัดเกลาทางสังคมและเป็นปัจจัยในการลงคะแนนเสียง ครอบครัวเป็น

               สถาบันที่มีความผูกพันกันมากที่สุด ซึ่งมีอิทธิพลต่อการออกเสียงลงคะแนน คนในครอบครัวเดียวกันมักจะออก
               เสียงคล้ายคลึงกันมาก (J. Glass, Bengtson, & Dunham, 1986) ครอบครัวนี้เป็นความสัมพันธ์ระหว่างพ่อ

               แม่และเด็กที่มีอิทธิพลต่อการวางพื้นฐานแรกเริ่มของแนวความคิดทางการเมือง รวมทั้งการที่จะเลือกพรรค

               การเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งด้วย
                       เพื่อน เป็นปัจจัยส าคัญในการการขัดเกลาทางการเมือง โดยผ่านการสนทนาในกลุ่มของเพื่อน โดย

               ปกติแล้วความคิดเห็นทางการเมืองที่เด่น ๆ จะถูกจดจ าและถูกถ่ายทอดออกไป และสื่อ ตามทฤษฎีทางสังคม

               วิทยา สื่อส่วนใหญ่มีส่วนเสริมสร้างทัศนคติทางสังคมในการหาเสียง ดังนั้น จึงถือว่าสื่อมีอิทธิพลในการ
               ตัดสินใจของประชาชนว่าพวกเขาจะเลือกและไม่เลือกใคร


                       2.2.2 ทฤษฎีสองนคราประชาธิปไตย

                       ทฤษฎีสองนคราประชาธิปไตยสะท้อนให้เห็นถึงสภาพปรากฏการณ์ทางการเมืองไทยระหว่างปี

               2533-2536 โดยได้ตั้งข้อสังเกตถึงความแตกต่างของสองพฤติกรรม สองความคิด สองความต้องการของ
               ชาวนาชาวไร่ภาคชนบทและชนชั้นกลางชาวเมืองว่า เป็นเพราะเกษตรกรชาวนาชาวไร่ในภาคชนบทเป็นได้

               เพียง “ฐานเสียง” โดยมองว่าการเลือกตั้งในชนบทเป็นการเมืองแบบอุปถัมภ์ ผู้มีสิทธิ์มีการซื้อสิทธิ์ขายเสียง

               และเลือกตั้งตามผู้น า หรือบุคคลที่ตนนับถือ และเป็น “ผู้ตั้ง” รัฐบาลโดยอาศัยคะแนนเสียงอันท่วมท้นในการ
               เลือกตั้ง ขณะที่ชนชั้นกลางเป็น “ฐานนโยบาย” และมักจะเป็น “ผู้ล้ม” รัฐบาล โดยการวิพากษ์วิจารณ์ และ

               ก่อกระแสกดดัน ประท้วงขับไล่รัฐบาล

                       สิ่งส าคัญที่สุดที่ท าให้ประชาธิปไตยไทยไม่ลงตัวนั้น เป็นเพราะทุกวันนี้ชนชั้นกลางและชาวนาชาวไร่
               มองประชาธิปไตยไม่เหมือนกัน จนเกิดเป็นความขัดแย้งและไม่ยอมรับกัน น าไปสู่เผด็จการที่   ล้าหลังกับ

               ประชาธิปไตยที่ขาดความชอบธรรม คนชั้นกลางมองประชาธิปไตยอยู่บนพื้นฐานของความชอบธรรม ต้อง
   33   34   35   36   37   38   39   40   41   42   43