Page 39 - kpi19903
P. 39

13



               ค านึงถึงนโยบายและอุดมการณ์ของผู้สมัคร ความสามารถของคนที่จะมาบริหารประเทศ และการได้มาซึ่ง
               รัฐบาลไม่ควรมีการซื้อสิทธิ์ขายเสียง เพราะเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ส่วนชาวชนบทเห็นว่าเลือกตั้งเป็นเครื่องมือใน

               การต่อรองของตนเองกับผู้มีอ านาจกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง และจะสนับสนุนผู้สมัครหรือพรรคการเมืองใดต้องเป็นผู้ที่

               มีบุญคุณ รวมถึงการคาดหวังว่าจะสามารถพึ่งพิงได้ในอนาคตด้วย
                       การแก้ปัญหานี้ คือ ท าอย่างไรชนชั้นกลางจึงไม่เพียงแต่ “ล้ม” รัฐบาลได้ หากแต่สามารถ “ตั้ง”

               รัฐบาลได้ด้วย เพื่อให้ชนชั้นกลางไม่เป็นเพียง “ฐานนโยบาย” หากเป็น “ฐานเสียง” ของพรรคการเมืองได้ด้วย

               โดยให้คนชนชั้นกลางได้มีส่วนร่วมในการจัดตั้งรัฐบาล เพื่อส านึกถึงความเป็นเจ้าของประชาธิปไตยร่วมกัน
               และสร้างคนชนบทให้เป็นฐานนโยบาย คือ ท าให้เกษตรกรชาวนาชาวไร่ไม่เพียงแต่ “ตั้ง” รัฐบาลได้ หาก

               สามารถ“ควบคุม” และ “ถอดถอน” รัฐบาลนั้นได้เช่นกัน ปัจจุบันชนชั้นกลางมองว่าชาวบ้านในชนบทมี

               ความสัมพันธ์กับนักการเมืองแบบระบบอุปถัมภ์ และลงคะแนนตาม   ค าชี้น าของหัวคะแนน หรือผู้คนที่ตนนับ
               ถือ (เอนก เหล่าธรรมทัศน์, 2556)

                       แนวคิดที่ว่าคนชนบทขายเสียงให้กับนักการเมืองนั้น กลายเป็นวาทกรรมที่ชาวบ้านถูกมองว่าเป็น

               ตัวการปัญหาของการสร้างประชาธิปไตย ประจักษ์ ก้องกีรติ ได้ให้แง่คิดเกี่ยวกับการเลือกตั้งของ คนชนชั้น
               กลาง คนชนชั้นสูง และคนชนบท ไว้ดังนี้ คนชั้นกลางและชนชั้นสูงมีทัศนคติด้านลบต่อ  “ระบอบ

               ประชาธิปไตย” ท าให้เกิดวาทกรรม “โง่ จน เจ็บ”ท าให้ชาวบ้านเป็นผู้ร้ายในระบอบประชาธิปไตย คือ "คน

               ชนบทที่โง่ จน เจ็บ" สมรู้ร่วมคิดกับนักการเมืองในการก่ออาชญากรรมที่เรียกว่า "การซื้อสิทธิ ขายเสียง" ท าให้
               การเมืองไทยเต็มไปด้วยการคอร์รัปชั่นและไร้ซึ่งศีลธรรม ในขณะเดียวกันกลุ่มคนที่เรียกว่า “คนดี” ซึ่งเป็นผู้ที่

               อาศัยอยู่ในเมือง มีการศึกษาสูง และฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมที่ดีกว่า มองว่าการเลือกตั้งไม่ส าคัญ เพราะ

               การเลือกตั้งเป็นเพียงการซื้อสิทธิ์ขายเสียงของคนบ้านนอกที่มีการศึกษาต่ ากับนักการเมือง คนที่อาศัยอยู่ใน
               เมืองจึงมองว่ารัฐบาลไม่จ าเป็นต้องมาจากการเลือกตั้งเพียงทางเดียว หากแต่จะเป็นใครก็ได้ที่เป็นคนดีเพื่อเข้า

               มาบริหารประเทศ

                       ทั้งนี้ ประจักษ์ ก้องกีรติ ได้ให้แง่คิดเกี่ยวกับการศึกษาพฤติกรรมการเลือกตั้งไว้ว่าท าอย่างไรการศึกษา
               พฤติกรรมการเลือกตั้งของไทยควรจะหลุดไปจากกรอบแนวคิดที่ว่า คนบ้านนอกเป็นผู้ร้ายนี้เสียที และ

               การศึกษาพฤติกรรมการเลือกตั้งนั้น ควรเพิ่มวิธีการศึกษาทางด้านมานุษยวิทยาว่าด้วยการเลือกตั้ง เพื่อจะได้

               เกิดความรู้ความเข้าใจใหม่ ๆ เกี่ยวกับพฤติกรรมการเลือกตั้งของคนชนบทมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ประจักษ์
               ก้องกีรติ ได้ให้ข้อสังเกตเกี่ยวกับทฤษฎีสองนคราประชาธิปไตยไว้ว่า ปัญหาเรื่องการเลือกตั้งนี้เป็นช่องว่าง

               ระหว่างเศรษฐกิจของเมืองและชนบท กล่าวคือควรมองปัญหาการซื้อสิทธิ์ขายเสียงในแง่ของเศรษฐกิจมากกว่า

               มองในแง่ของศีลธรรม นั่นคือคนชนบทไม่ได้เลือกใครหรือพรรคใดเพียงเพราะได้รับเงิน แต่ก็ไม่ปฏิเสธที่จะไม่
               รับเงิน หากแต่เขายังได้ค านึงถึงผลประโยชน์ในระยะยาวที่ผู้สมัครจะน ามาให้แก่ตนและชุมชนอีกด้วย

               (ประจักษ์ ก้องกีรติ, 2555)

                       เนื่องด้วย ปัจจุบันได้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจและสังคมอย่างรวดเร็ว ในยุคที่ประชาชน
               แทบทุกคนสามารถเข้าถึงสื่อต่าง ๆ ได้อย่างเสรี จึงมีผู้ศึกษาถึงพฤติกรรมการลงคะแนน   โดยใช้ภูมิหลังทาง
   34   35   36   37   38   39   40   41   42   43   44