Page 257 - kpi19903
P. 257

222



                     ดังนั้นการศึกษานี้จึงมีวัตถุประสงค์ในการสร้างตัวชี้วัดความเป็นเมืองโดยครอบคลุมด้านกายภาพ ด้าน
               เศรษฐกิจ และด้านสังคม โดยใช้การวิเคราะห์มุขส าคัญ

               14.3.2 ควำมเป็นเมืองและพฤติกรรมกำรเลือกตั้ง

                     การศึกษานี้ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความเป็นเมืองและพฤติกรรมการเลือกตั้งในหลายมุมมอง  เช่น
               การมีส่วนร่วมทางการเมือง การแบ่งขั้วทางการเมือง และความเป็นภูมิภาคนิยม


               ควำมเป็นเมืองและกำรมีส่วนร่วมทำงกำรเมือง (Political participation)

                     การมีส่วนร่วมทางการเมืองโดยเฉพาะอย่างยิ่งการออกไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง เป็นตัวชี้วัดความส าเร็จในการ

               พัฒนาประชาธิปไตย การมีส่วนร่วมทางการเมืองเป็นเครื่องมือในการดึงอ านาจทางการเมืองหรือการเจรจา

               ต่อรองทรัพยากรของกลุ่มคนต่างๆในพื้นที่ (Sancton & Zhenming, 2015; Scaff, 1975)
                     ผลการศึกษาจากงานวิจัยที่ผ่านมา พบว่าบุคคลที่มีสถานภาพทางเศรษฐกิจและสังคมต่ า มีแนวโน้มที่จะ

               มีส่วนร่วมทางการเมืองมากกว่าบุคคลที่มีสถานภาพเศรษฐกิจและสังคมสูง (Cutts, Webber, Widdop,

               Johnston,  &  Pattie,  2014;  Gimpel,  Morris,  &  Armstrong,  2004;  Robert  B. Albritton  &
               Prabudhanitisarn, 1997; ถวิลวดี บุรีกุล & โรเบิร์ต บี อัลบริททัน, 2543a; สติธร ธนานิธิโชติ, 2550a; สุจิต

               บุญบงการ & พรศักดิ์ ผ่องแผ้ว, 2527)

                     นอกจากนี้บุคคลที่มีรายได้น้อยมีแนวโน้มที่จะซื้อสิทธิ์ขายเสียงโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อภาวะเศรษฐกิจ
               ถดถอยหรือตกต่ า (Mo, Brady, & Ro,  1991(   คนเหล่านี้จะออกไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งเพื่อหารายได้หรือประโยชน์

               เข้าตนเอง โดยไม่ค านึงถึงนโยบายสาธารณะ  (Thananithichot, 2012; สุจิต บุญบงการ & พรศักดิ์ ผ่องแผ้ว,

               2527)  ซึ่งสอดคล้องกับทฤษฎีสองนคราประชาธิปไตยที่อธิบายว่าคนเมืองจะไม่ค่อยออกมาใช้สิทธิ์เลือกตั้ง
               เนื่องจากในชีวิตประจ าวันคนเหล่านี้สามารถยืนหยัดได้ด้วยตนเอง จึงไม่เห็นประโยชน์จากการออกไปใช้สิทธิ์

               เลือกตั้ง ในขณะที่คนชนบทจะให้ความส าคัญกับการออกไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง เนื่องจากคนเหล่านี้ต้องการได้รับ
               ผลประโยชน์มากที่สุดจากการออกไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง (เอนก เหล่าธรรมทัศน์,  2556(    อย่างไรก็ตามทฤษฎีสอง

               นคราประชาธิปไตยถูกท้าทายมากยิ่งขึ้น เนื่องจากในปัจจุบันกระแสความคิดแบบเมืองกระจายไปสู่สังคม

               ชนบท ท าให้กลุ่มคนเหล่านี้มีความทันสมัยมากขึ้น นอกจากนี้มีการรวมกลุ่มกันเพื่อเจรจาต่อรองผลประโยชน์
               ให้กับตนเองหรือพวกพ้องของตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลประโยชน์จากการเลือกตั้ง (ประภาส ปิ่นตบแต่ง,

               ( 2541

                     อย่างไรก็ตามการศึกษาที่ผ่านมาพบว่าคนที่อาศัยในเขตเมืองมักเกิดความเบื่อหน่ายทางการเมือง
               (Political apathy) โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนกรุงเทพฯ เนื่องมาจากการเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและการ

               พัฒนาในด้านต่างๆ ส่งผลให้สามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการเมืองรวมถึงการทุจริตได้อย่างง่ายดาย

               ดังนั้นทางเลือกใหม่ส าหรับคนเมืองเหล่านี้คือ การไม่ไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง และ การไม่ประสงค์ลงคะแนน (Owen,
               2016; อรรถสิทธิ์ พานแก้ว ,2550) ทั้งนี้คนเมืองอาจยุ่งกับงานในชีวิตประจ าวัน ท าให้ไม่สามารถออกไปใช้สิทธิ์

               เลือกตั้ง ในขณะที่คนชนบทมีเวลาว่างท าให้สะดวกแก่การออกไปใช้สิทธิ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเกิดการ
   252   253   254   255   256   257   258   259   260   261   262