Page 92 - kpi18343
P. 92
กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการสร้างความปรองดอง
ก ร ณี ศึ ก ษ า ใ น ต่ า ง ป ร ะ เ ท ศ
กระบวนการพิเศษได้ อีกทั้งยังสามารถถอดบทเรียนจากกระบวนการการและ
กลไกพิจารณาว่าผู้กระทำความผิดใดควรจะต้องเข้าสู่กระบวนการพิเศษแทน
อีกด้วย
ทั้งนี้ ในประเด็นเกี่ยวกับการนิรโทษกรรมนั้นTricia D. Olsen, Leigh A.
Payne และ Andrew G. Reiter ได้ระบุถึงสถิติของการนิรโทษกรรมไว้คร่าวๆ
2 กรณี คือ การนิรโทษกรรมในกรณีที่เกิดจากความขัดแย้งทางการเมือง และ
การนิรโทษกรรมเนื่องจากสงครามกลางเมือง โดยได้สรุปไว้ว่า ที่ผ่านมา การนิรโทษ
กรรมในกรณีที่เกิดจากความขัดแย้งทางการเมืองมีจำนวนน้อยกว่าการนิรโทษกรรม
เนื่องจากสงครามกลางเมือง ยิ่งกว่านั้น เมื่อพิจารณาในประเด็นที่ว่าเป็นการนิรโทษ
กรรมให้แก่ผู้ใดแล้ว พบว่า การนิรโทษกรรมส่วนใหญ่จะเป็นการนิรโทษกรรมให้แก่
ผู้ที่เป็นปฏิปักษ์กับรัฐบาล (ซึ่งมักจะเป็นประชาชนที่เคลื่อนไหวเพื่อต่อต้านรัฐบาล)
ส่วนการนิรโทษกรรมให้แก่เจ้าหน้าที่รัฐหรือองค์กรของรัฐเองนั้นเป็นส่วนน้อย
กล่าวคือ ที่ผ่านมามีการนิรโทษกรรมให้แก่ผู้ที่เป็นปฏิปักษ์กับรัฐบาล คิดเป็น
การนิรโทษกรรมที่มาจากความขัดแย้งทางการเมือง 133 กรณี และมาจาก
สงครามกลางเมือง 172 กรณี ส่วนการนิรโทษกรรมให้แก่เจ้าหน้าที่รัฐหรือองค์กร
ของรัฐนั้น คิดเป็นการนิรโทษกรรมที่มาจากความขัดแย้งทางการเมืองเพียง 48 กรณี
และมาจากสงครามกลางเมืองเพียง 1 กรณี เท่านั้น 28
ทั้งนี้ การนิรโทษกรรมเมื่อเกิดความขัดแย้งอันนำมาสู่เหตุการณ์ความ
รุนแรงส่วนใหญ่จะกำหนดในบทบัญญัติแห่งกฎหมายแยกต่างหากจากบทบัญญัติ
เกี่ยวกับการสร้างความปรองดอง แต่ก็มีการนิรโทษกรรมของบางประเทศที่กำหนด
ไว้ในบทบัญญัติว่าด้วยการสร้างความปรองดอง เพื่อกำหนดเป็นกรอบว่าใน
กระบวนการสร้างความปรองดองนั้น จะต้องมีการนิรโทษกรรมด้วย เช่น บทบัญญัติ
ของประเทศแอฟริกาใต้ ประเทศเกาหลีใต้ ประเทศฟิจิ และประเทศเคนยา เป็นต้น
และเมื่อพิจารณาบทบัญญัติของประเทศเหล่านี้แล้ว สามารถแยกกล่าวถึง
การบัญญัติเรื่องการนิรโทษกรรมไว้ในบทบัญญัติว่าด้วยการสร้างความปรองดอง
ดังนี้
28 Tricia D. Olsen, Leigh A. Payne and Andrew G. Reiter., op., cit, p. 36
สถาบันพระปกเกล้า
8