Page 366 - kpi17968
P. 366
355
ภาวะเช่นนี้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้นหลัง พ.ศ.2548 เป็นต้นมา เมื่อ
โครงสร้างการถ่วงดุลอำนาจระหว่างฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัติเสียดุลไป
กล่าวคือ ฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติเป็นฝ่ายเดียวกัน เนื่องจากสมาชิกสภา
ผู้แทนราษฎร (ส.ส.) เป็นผู้เลือกนายกรัฐมนตรีและมาจากพรรคเดียวกัน
ฝ่ายตุลาการจึงเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในการถ่วงดุลอำนาจ ทำให้เกิดข้อวิพากษ์
วิจารณ์ในลักษณะที่ไม่ยอมรับกลไกของกระบวนการยุติธรรม และนำไปสู่การ
โจมตีบทบาทดังกล่าว ทำให้สังคมมีสภาพที่เสมือนหนึ่งขาดผู้รักษากติกาที่เป็น
กลางในสถานการณ์ความขัดแย้งเช่นนี้
ประเด็นเหล่านี้นำไปสู่การสร้างการรับรู้ว่ากระบวนการยุติธรรมมี
สองมาตรฐาน มีการกล่าวอ้างว่ามีการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมทั้งในด้าน
การบังคับใช้กฎหมาย และการทำหน้าที่ขององค์กรอิสระ ทำให้เกิดความ
เคลือบแคลงต่อหลักนิติธรรม และความรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจาก
กระบวนการยุติธรรม เช่น กรณีที่มีผู้ถูกกล่าวหาในคดีเดียวกันของทั้งสองฝ่าย
แต่ฝ่ายหนึ่งได้รับการประกันตัว ในขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งถูกควบคุมตัวอยู่ในเรือน
จำเป็นจำนวนมาก ทำให้ถูกนำไปขยายผลและโจมตีว่ามีการเลือกปฏิบัติหรือ
สองมาตรฐานเกิดขึ้น (คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการ
ปรองดองแห่งชาติ (คอป.), 2555: 212-213)
ภายหลังจากการยุบสภาในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549 เป็นต้นมา
ทั้งศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง และศาลยุติธรรมโดยเฉพาะศาลฎีกาแผนกคดี
อาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต่างมีบทบาทมากขึ้น ตั้งแต่การวินิจฉัย
ว่าการเลือกตั้งทั่วไปในปี พ.ศ. 2549 ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ การยุบพรรค
การเมือง 2 ระลอกโดยพรรคไทยรักไทยและพรรคพลังประชาชนซึ่งสืบทอดมา
จากพรรคไทยรักไทย การวินิจฉัยให้นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี พ้นจาก
ตำแหน่งเพราะเป็นพิธีกรในรายการโทรทัศน์ในฐานะเป็นลูกจ้าง รวมทั้งกรณี
การวินิจฉัยกรณีแถลงการณ์ร่วมประสาทพระวิหาร และการตัดสินลงโทษ
พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ว่ากระทำผิดฐานกระทำการอันขัดกันระหว่างประโยชน์
ส่วนตัวกับประโยชน์สาธารณะ
การประชุมกลุมยอยที่ 3