Page 245 - kpi17968
P. 245
234
ในทศวรรษ 2530 เป็นต้นมา คนกลุ่มใหม่ที่มีบทบาททางการเมืองอย่าง
โดดเด่นแทนข้าราชการ ได้แก่ ชนชั้นกลาง โดยที่ชนชั้นกลางที่เป็นกลุ่มทุนระดับ
ชาติและกลุ่มทุนท้องถิ่น กลายเป็นนักการเมืองที่มีอำนาจผ่านการเลือกตั้งหรือ
ระบบรัฐสภา และกลุ่มทุนใหญ่กลุ่มหนึ่งได้เข้ามาเป็นเจ้าของพรรคการเมืองที่มี
อิทธิพลเหนือนักการเมืองส่วนใหญ่ทั้งในระดับชาติและระดับท้องถิ่น อีกทั้งยังมี
อิทธิพลเหนือชนชั้นล่างในชนบทในครึ่งหลังของทศวรรษ 2540 โดยกลุ่มทุนใหญ่
ดังกล่าวนี้มีแนวโน้มว่าจะสืบทอดอำนาจอย่างยาวนานจากการตอบสนองความ
ต้องการของชนชั้นกลางระดับล่างด้วยนโยบายประชานิยม ส่งผลให้ชนชั้นกลาง
ระดับกลางและระดับสูงจำนวนหลายล้านคนซึ่งเรียกกันว่า “คนเสื้อเหลือง” พากัน
ปฏิเสธระบบการเมืองที่เป็นทางการที่ให้ความสำคัญแก่รัฐบาลที่จากการเลือกตั้ง
โดยที่ชนชั้นกลางระดับกลางและระดับสูงเหล่านี้ได้อาศัยพระราชอำนาจนำ
(hegemony) ของพระมหากษัตริย์และ “อุดมการณ์ราชาชาตินิยมแบบพ่อแห่ง
ชาติ” ในการเคลื่อนไหวต่อต้านเครือข่ายอำนาจของกลุ่มทุนใหญ่ที่เรียกกันว่า
12
“ระบอบทักษิณ” ในขณะเดียวกัน คนชนบทส่วนใหญ่ที่กลายเป็นชนชั้นกลาง
ระดับล่าง ซึ่งเคลื่อนไหวทางการเมืองในนามของ “คนเสื้อแดง” ก็ต้องการระบอบ
ประชาธิปไตยแบบเลือกตั้งเพราะได้ประโยชน์จากนโยบายของรัฐบาลที่เอาใจ
คนชนบทเพื่อคะแนนเสียง รวมทั้งต้องการที่จะเข้าถึงทรัพยากรที่บริหารจัดการ
โดยรัฐอย่างเสมอภาคมากขึ้นด้วย
ความเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างการเมืองดังกล่าวข้างต้นนี้ทำให้
วัฒนธรรมทางการเมืองของไทยเปลี่ยนแปลงไปมาก จากเดิมที่คนในสังคมไทย
เกือบทั้งหมดยอมรับการแบ่งคนออกเป็นลำดับชั้น ซึ่งหมายถึงการยอมรับในความ
สัมพันธ์เชิงอำนาจในระบอบ “การปกครองแบบไทย” หรือ “ประชาธิปไตยแบบ
ไทย” ที่อำนาจอยู่ในมือของผู้นำกองทัพหรือหัวหน้าฝ่ายบริหาร รวมทั้งการ
ยอมรับในเรื่อง “หลายมาตรฐาน” โดยดุษณี เปลี่ยนมาสู่ยุคที่มีคนหลายล้านคน
ลุกขึ้นเรียกร้องระบอบเสรีประชาธิปไตยและความเสมอภาค โดยผู้เคลื่อนไหว
12 สายชล สัตยานุรักษ์, “อุดมการณ์ชาตินิยมกับการเคลื่อนไหวทางการเมืองของ
ชนชั้นกลางไทย” ใน ประวัติศาสตร์รัฐไทยและสังคมไทย: ครอบครัว ชุมชน ชีวิตสามัญชน
ความทรงจำ และอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์, เชียงใหม่: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2558,
หน้า 255-284.
การประชุมกลุมยอยที่ 2