Page 406 - kpi17073
P. 406

การประชุมวิชาการ
                                                                                         สถาบันพระปกเกล้า ครั้งที่ 16   405


                      แสดงออกมาก และเป็นที่เคารพของเสียงข้างมาก นอกจากนี้ สังคมที่ปกครองตามตัวแบบ
                      พหุนิยมหรือแนวประชาธิปไตยนี้ยังมีจุดแข็งอีก 2 ประการ คือ 1. เป็นระบบที่จำกัดขอบเขตการ

                      กระทำของผู้นำ คือเป็นรัฐบาลที่มีอำนาจจำกัด 2. ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยสามารถอุทธรณ์ร้องเรียนต่อ
                      ประชาชนได้


                            ในทัศนะของนักทฤษฎีพหุนิยม สังคมที่ประชาชนไม่มีการรวมตัวกันเป็นกลุ่มเป็นสมาคม
                      มากมายหลากหลาย จำนวนหมื่นจำนวนแสน จะเป็นสังคมที่อันตรายต่อการถูกปลุกระดมโดย

                      นักปลุกระดมมวลชนได้ง่าย เพราะมวลประชาชนไม่มีกลุ่มหรือสมาคมให้ยึดเหนี่ยว ยิ่งสังคม
                      มีปัญหา ประชาชนยากจน ขาดช่องทางประกอบอาชีพที่ดีพอ รู้สึกว่าถูกเหยียดหยามดูหมิ่น
                      ยิ่งง่ายต่อการตกเป็นเหยื่อของการปลุกระดม ไม่ว่าการปลุกระดมนั้นจะมีเหตุผลหรือไม่ก็ตาม

                      เพื่อให้มวลประชาปลอดจากการถูกปลุกระดมจากนักปลุกระดม นอกจากสังคมจะต้องมีการรวม
                      ตัวรวมกลุ่มกันแล้ว การให้การเรียนรู้ผ่านทางช่องทางสื่อสารชนิดต่างๆ เป็นสิ่งที่ควรกระทำ

                      โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านทางระบบโรงเรียน เนื่องจากสังคมโดยทั่วไปประชาชนส่วนใหญ่จะไม่สนใจ
                      การเมือง มีประชาชนจำนวนน้อยเท่านั้นที่สนใจการเมือง  4


                            ทฤษฎีมาร์กซิสต์ มองการเมืองเป็นเรื่องความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างชนชั้น 2 ชนชั้น
                      ที่ไม่เท่าเทียมกัน ขัดแย้งกัน ฝ่ายหนึ่งเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต คือเป็นเจ้าของที่ดิน เครื่องจักร

                      เงินทุน วัตถุดิบ กับอีกฝ่ายหนึ่งที่เป็นผู้ขายแรงงานหรือผู้ออกแรงกระทำการผลิต ในความ
                      สัมพันธ์ระหว่าง 2 ฝ่ายที่ว่านี้ ไม่ว่าจะเป็นสังคมศักดินาหรือสังคมทุนนิยม ล้วนเป็นความสัมพันธ์
                      เชิงขัดแย้งเป็นหลัก เนื่องจากเป็นความสัมพันธ์ที่ฝ่ายเจ้าของปัจจัยการผลิตเอารัดเอาเปรียบ กดขี่

                      ขูดรีด ฝ่ายผู้ขายแรงงาน กล่าวคือฝ่ายเจ้าของปัจจัยการผลิตแสวงหาส่วนเกินจากผลการผลิตของ
                      แรงงาน ความสัมพันธ์ดังกล่าวสร้างความทุกข์ยาก สร้างความเดือดร้อน ขณะเดียวกันก็สร้าง

                      ความตื่นตัว และความเจ็บแค้นทางชนชั้นให้กับฝ่ายผู้ขายแรงงาน ดังนั้น ฝ่ายที่เสียเปรียบเมื่อ
                      ความทุกข์ยากเพิ่มมากขึ้นๆ โดยธรรมชาติ ย่อมจะต้องลุกฮือทำการปฏิวัติโค่นล้มทำลายล้างฝ่าย
                      ที่เอารัดเอาเปรียบให้สูญสิ้นไป เพื่อปลดเปลื้องความทุกข์ยากของตนให้หมดไป
                                                                                              5

                            อย่างไรก็ดี การพยากรณ์ว่าในสังคมอุตสาหกรรมจะเกิดการปฏิวัติโค่นล้มชนชั้นนายทุนโดย

                      ชนชั้นกรรมาชีพ แต่ปรากฏการณ์เช่นนั้นไม่เกิดขึ้นดั่งที่เจ้าของลัทธิพยากรณ์ไว้ ในกรณีนี้ ได้มี
                      การเสริมเติมลัทธิด้วยแนวคิดของเลนินและแนวคิดของเหมาเจ๋อตงในการปฏิวัติสังคม ถ้าเป็น
                      ลัทธิเลนินก็ต้องใช้วิธีการจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาเป็นแกนนำของชนชั้นกรรมาชีพ ใช้ประโยชน์

                      จากความตื่นตัวทางชนชั้นของขนชั้นกรรมาชีพ ชี้นำการปฏิวัติโค่นล้มเจ้าที่ดินหรือชนชั้นนายทุน
                                      6
                      ด้วยพลังมวลชน  แต่ถ้าเป็นแนวคิดเหมาเจ๋อตงหรือเมาอิสต์กรณีสู้รบในเมืองสู้ฝ่ายผู้ปกครอง


                          4   เพิ่งอ้าง หน้า 129-137.
                         5   Karl Marx, “Manifesto of the Communist Party” in Robert C. Tucker (ed.), The Marx and Engels
                      Reader (New York: W.W. Norton and Co., 1972), pp. 335-345.
                         6   ดู Alfred G. Meyer, Leninism (New York: Praeger Publishers, 1962), pp. 19-56.               การประชุมกลุ่มย่อยที่ 5
   401   402   403   404   405   406   407   408   409   410   411