Page 405 - kpi17073
P. 405

404     การประชุมวิชาการ
                   สถาบันพระปกเกล้า ครั้งที่ 16


                  ทักษิณ ใน พ.ศ. 2551 กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือกลุ่ม
                  เสื้อแดง ชุมนุมประท้วงรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ใน พ.ศ. 2552 และ พ.ศ. 2553 และ

                  กลุ่มคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมี
                  พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) ชุมนุมประท้วงอย่างยืดเยื้อใน พ.ศ. 2556-2557
                  (ดูภาคผนวกท้ายบทความ) จนทหารต้องเข้ามาแทรกแซงด้วยการใช้กำลังเข้าแก้ไขปัญหาการ

                  ชุมนุมหลายครั้ง รวมถึงการทำรัฐประหารยุติการปกครองระบอบประชาธิปไตยถึง 2 ครั้งในระยะ
                  เวลาห่างกันไม่ถึง 10 ปี



                  กรอบการเดินเรื่อง และแนวคิดหรือทฤษฎีในการวิเคราะห์ปัญหา



                       ในการศึกษาทำความเข้าใจเกี่ยวกับสาเหตุของปัญหาที่เกิดขึ้นและช่องทางการแก้ไข ผู้วิจัย
                  มองปัญหาโดยใช้หลักธรรมแห่งพุทธศาสนาเป็นหลักการขั้นตอนในการเดินเรื่อง  คือ อริยสัจ 4

                  อันได้แก่ 1. ปัญหาที่เกิดขึ้น 2. สาเหตุของปัญหา 3. แนวทางการแก้ปัญหา และ 4. วิธีปฏิบัติใน
                  การแก้ปัญหา กล่าวคือการวิจัยจะเริ่มจากการระบุประเด็นปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้น วิเคราะห์

                  สาเหตุของปัญหาว่ามาจากอะไร แนวทางการแก้ไขเป็นแบบใด และวิธีปฏิบัติในการแก้ไข
                  ทำอย่างไร ตามลำดับ


                       สำหรับการวิเคราะห์ปัญหาความขัดแย้งและการสร้างดุลยภาพทางการเมือง อาจกล่าวได้ว่า
                  ทำได้ในหลายรูปแบบ ทั้งในแง่ของแนวคิดแบบประชาธิปไตยทางอ้อมที่ให้ประชาชนเลือกผู้แทน
                  เข้ามาทำหน้าที่แทนประชาชน โดยไม่จำเป็นต้องผ่านพรรคการเมืองหรือกลุ่มผลประโยชน์ หรือ

                  ผ่านกลุ่มผลประโยชน์ตามทฤษฎีพหุนิยม ผ่านชนชั้นตามทฤษฎีมาร์กซิสต์ และผู้นำตามแนวคิด
                  ฟาสซิสต์


                       ทฤษฎีพหุนิยม เป็นทฤษฎีในแนวประชาธิปไตย มองการเมืองเป็นการแข่งขันและการร่วมมือ

                  ของกลุ่มพลังต่างๆ ที่จำกัดวงอยู่ในกรอบของกติกา ทุกฝ่ายทุกกลุ่มต้องเล่นหรือดำเนินกิจกรรม
                  ทางการเมืองตามกติกา โดยระบบการเมืองจะมีกติกากลางที่ทุกฝ่ายต้องเคารพและต้องปฏิบัติ
                  ตาม หากละเมิดกติกาก็อาจถูกตักเตือนหรือถูกตัดสิทธิในการแข่งขัน การเมืองในระบบอย่างนี้

                  ตัวแสดงทางการเมืองประกอบด้วยประชาชนที่รวมตัวกันเป็นกลุ่มเป็นชมรม เป็นสมาคม เป็น
                  สหภาพ เป็นสหกรณ์หลากหลายทางเศรษฐกิจ สังคม ศาสนา วัฒนธรรม การศึกษา การกีฬา

                  หรืออื่นๆ ที่เป็นอิสระ ไม่ขึ้นกับใคร จำนวนหมื่นจำนวนแสน ไม่มีกลุ่มใดมีอำนาจมากพอที่จะ
                  ผูกขาดอำนาจหรือบังคับกลุ่มอื่นๆ ด้วยอำนาจให้เห็นตามในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เว้นแต่จะเป็นเรื่อง
                  ที่กลุ่มเล็กกลุ่มน้อยส่วนใหญ่เห็นพ้องต้องกัน การใช้วิธีชักจูงโน้มน้าวด้วยเหตุผล การขอความ

                                                                                            3
                  ร่วมมือ หรือการต่อรองด้วยการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์จึงจะประสบความสำเร็จ  ในสังคมชนิดนี้
                  ทุกกลุ่มมีโอกาสแสดงออก ทุกกลุ่มมีโอกาสดำรงอยู่ร่วมกัน ไม่ถูกกลืนกินหรือทำลายโดยกลุ่ม
        การประชุมกลุ่มย่อยที่ 5   ใหญ่ง่ายๆ สังคมแบบนี้ แม้จะปกครองด้วยเสียงส่วนใหญ่ แต่เสียงส่วนน้อยก็มีเสรีภาพในการ





                        Arnold K. Sherman and Aliza Kolker, The Social Bases of Politics (Belmont, Cal.: Wadsworth
                     3
                  Publishing Co., 1987), pp. 126-140.
   400   401   402   403   404   405   406   407   408   409   410