Page 140 - kpi16607
P. 140
ดุลอำนาจ ในการเมืองการปกครองไทย
ชนชั้นกลางในเมืองที่คล้อยตามวาทกรรมการเมืองใสสะอาด และชนชั้นกลางภาค
ชนบทที่คล้อยตามวาทกรรมการเคารพเสียงของประชาชน ประเด็นที่สาม
ที่บทความนี้อยากจะชวนให้คิดก็คือ เราจะก้าวพ้นช่วงเปลี่ยนผ่านนี้ไปได้อย่างไร
วาทกรรมที่ใช้คือ reconciliation ซึ่งในความหมายของกระบวนการ ก็อาจแปลคำ
คำนี้ว่า “กระบวนการคืนดี” ส่วนในความหมายของจุดหมายปลายทาง ก็อาจ
แปลคำคำนี้ว่า “การปรองดอง” ซึ่งในแง่นี้คือผลของการแปลงเปลี่ยนความ
ขัดแย้งนั่นเอง เราจะใช้วาทกรรมการคืนดี-ปรองดองนี้ให้มีประสิทธิผลได้อย่างไร
บทความนี้ไม่สามารถให้คำตอบต่อประเด็นทั้งสามที่ตั้งไว้ข้างต้น ไม่ว่าจะ
เป็นในเรื่องการกระจายอำนาจ การตัดวงจรรัฐประหาร และการสร้างวาทกรรม
การคืนดี-ปรองดอง จะทำก็แต่เพียงการมองบริบทและการเสนอแนวทางเท่านั้น
โดยไม่มีข้อเสนอแบบฟันธงเลยทีเดียว
132 2. การปรองดอง
จากความยาวนานของความขัดแย้งในสังคมการเมืองไทยดังที่กล่าวข้างต้น
อาจสรุปได้ว่าความขัดแย้งนี้เป็นความขัดแย้งที่ยืดเยื้อ (protracted) หรือจัดการ
ได้ยาก (intractable) โดยทั่วไป เรามักใช้แนวคิดเรื่องการปรองดองกับกรณีหลัง-
ความขัดแย้ง (post-conflict) คือได้พ้นช่วงวิกฤติอันรุนแรงไปแล้วและเกิดภาวะที่
เรียกว่าสันติภาพเชิงลบ หมายความว่าภาคีความขัดแย้งยังบาดหมางใจ แม้กระทั่ง
ยังเกลียดชังกันอยู่ ยังขัดแย้งในเชิงเป้าหมายกันอยู่ก็ตาม แต่ตกลงกันได้ที่จะไม่
ใช้ความรุนแรงต่อกัน จึงเป็นช่วงเวลาที่จะต้องแปลงเปลี่ยนความสัมพันธ์เชิงลบนี้
ให้เป็นเชิงบวก เพราะความสัมพันธ์เชิงลบจะลดทอนทุนทางสังคม และลดโอกาส
ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ที่สำคัญคือ การตัดสินใจทางการเมืองใด ๆ จะเผชิญกับ
การคัดค้านเสมอ ถ้าไม่ขยับเลื่อนไปสู่สันติภาพเชิงบวก สังคมจะพัฒนาในด้านใด
ก็จะเจอแต่ปัญหาและแรงเสียดทาน แม้กระทั่งการขัดขวาง อย่างไรก็ดี สำหรับ
ความขัดแย้งที่ยืดเยื้อ ครั้นจะต้องรอให้ความขัดแย้งคลี่คลายสู่ช่วงหลัง-ความ
ขัดแย้งก่อน จึงจะเริ่มกระบวนการปรองดองแล้วละก็ เราอาจจะต้องรอกันอีกนาน
อีกทั้งไม่มีความแน่นอนในเรื่องพลวัตของความขัดแย้งของสังคมไทย ว่าจะวนสู่
สถาบันพระปกเกล้า