Page 139 - kpi16607
P. 139
ดุลอำนาจ ในการเมืองการปกครองไทย
เรื่องประชาชน จากอำนาจอธิปไตยมาจากประชาชน มาเป็นอำนาจอธิปไตย
เป็นของประชาชน มีการยอมรับความคิดของประชาธิปไตยแบบตัวแทนที่มาจาก
การเลือกตั้งที่สุจริตและเที่ยงธรรมอย่างกว้างขวาง แต่ความคืบหน้าของความคิด
เรื่องประชาธิปไตยต้องแลกมาด้วยเลือดเนื้อของประชาชนหลายครั้ง ทั้งใน
เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 เหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 และเหตุการณ์เดือน
พฤษภาคม 2535 อย่างไรก็ดี รัฐราชการมีความสมบุกสมบันสูง และตีโต้กลับ
ตลอดเวลา โดยอ้างจุดอ่อนของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง เช่นอ้างภัยคุกคาม
คอมมิวนิสต์ การคอร์รัปชั่น แม้กระทั่งการขาดความจงรักภักดี ทั้งนี้เพื่อทำการ
รัฐประหาร วงจรการเมืองไทยในรอบสี่สิบปีมีลักษณะดังนี้ (1) รัฐบาลทหาร
ถูกขับ ปี 2516 (2) รัฐประหารปี 2519-20 (3) สู่ประชาธิปไตย
(4) รัฐประหารปี 2534 (5) รัฐบาลที่นายกรัฐมนตรีไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง
ถูกขับในปี 2535 (6) สู่ประชาธิปไตย (7) รัฐประหาร ปี 2549 และปี 2557
เพื่อขับไล่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ประเด็นที่สองที่บทความนี้อยากชวนให้คิด
ก็คือ จะตัดตอนวงจรการเมืองนี้ได้อย่างไร กล่าวอีกนัยหนึ่ง ทำอย่างไรจึงจะให้
รัฐบาลประชาธิปไตยมีอายุยาวขึ้น หรือยาวไปตลอด 131
ในช่วงเวลาระหว่างปี 2548 ถึงปัจจุบัน น่าจะเป็นการเปลี่ยนผ่านครั้งที่
สามของสังคมการเมืองไทย ก่อนหน้านี้ การขับเคลื่อนของฝ่ายประชาธิปไตย
อาศัยจุดอ่อนของฝ่ายอำนาจนิยม ที่มักจะมั่นใจเกินไป หรือไม่สามารถแบ่งปัน
อำนาจและผลประโยชน์อย่างลงตัวหรือเป็นธรรม บางครั้งก็ทำเกินกว่าเหตุ และ
ตกอยู่ในวังวนของการคอร์รัปชั่นเช่นกัน ฝ่ายประชาธิปไตยจึงสามารถรวมพลัง
ของชนชั้นกลางโดยเฉพาะในเมืองได้ แต่พอผู้ที่ได้อำนาจมาจากการเลือกตั้ง
ถูกมองว่ามีจุดอ่อนดังกล่าวเสียเอง ชนชั้นกลางในเมืองจึงเกิดความโกรธแค้น
และอาศัยหลักของเสรีภาพในการชุมนุมโดยปราศจากอาวุธ ทำการประท้วงอย่าง
ยาวนานนับเดือนแบบไม่ชนะไม่เลิก จนเป็นที่มาของรัฐประหารถึงสองครั้ง
ส่วนชนชั้นกลางใหม่ ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในภาคชนบทและได้รับผลดีจากนโยบายของ
รัฐบาลที่ถูกชนชั้นกลางในเมืองขับไล่ ก็ลุกขึ้นมาประท้วงในแบบเดียวกันบ้าง และ
ตกเป็นฝ่ายถูกปราบโดยอำนาจรัฐ ช่วงเปลี่ยนผ่านนี้จึงกลายเป็นศึกสามเส้า
เป็นอย่างน้อย คือฝ่ายนิยมความมั่นคงที่คล้อยตามวาทกรรมความสงบเรียบร้อย
สถาบันพระปกเกล้า