Page 46 - kpi12821
P. 46
แนวทางปรับปรุงกฏหมายเกี่ยวกับการยุบพรรคการเมือง
อย่างไรก็ดี หากคำนึงแต่เฉพาะสภาพบริบททางการเมืองของประเทศที่
เผชิญหรือเคยเผชิญปัญหาภัยคุกคามจากพรรคการเมือง และมีการใช้มาตรการยุบ
พรรคการเมืองเป็นเครื่องมือขจัดปัญหาดังกล่าวแต่เพียงด้านเดียว โดยไม่พิจารณาถึง
ระดับพัฒนาการของประชาธิปไตยซึ่งให้น้ำหนักความสำคัญแก่พรรคการเมืองในฐานะ
ตัวเชื่อมระหว่างรัฐกับประชาชน ตลอดจนความหลากหลายทางการเมืองอันเป็นหัวใจ
หลักของระบอบประชาธิปไตยที่จะธำรงรักษาไว้ได้ก็แต่เฉพาะภายใต้บริบทการมีหลาย
พรรคการเมืองและการคุ้มครองเสรีภาพในการแสดงออก เสรีภาพในการรวมกลุ่ม และ
เสรีภาพของพรรคการเมืองเท่านั้น กรณีอาจจะกลายเป็นว่า งานวิจัยนี้ไปนำกฎหมาย
ของประเทศที่ปกครองภายใต้ระบอบอำนาจนิยม (Authoritarian Regime) มาเป็นต้น
แบบในการศึกษาเปรียบเทียบเพื่อปรับปรุงกฎหมายไทย อันอาจเป็นการถอยหลังเข้า
คลอง ซึ่งมิใช่เป้าประสงค์ของงานวิจัยที่มุ่งหมายเพื่อปรับปรุงให้กฎหมายเกี่ยวกับการ
ยุบพรรคการเมืองของไทยสอดคล้องกับหลักนิติรัฐและหลักประชาธิปไตย
ดังนั้น การคัดเลือกประเทศโดยอาศัยหลักเกณฑ์ประวัติศาสตร์และบริบท
ทางการเมืองของประเทศนั้นๆ จึงต้องพิจารณาจากสองปัจจัยคือ (ก) เผชิญหรือเคย
เผชิญกับปัญหาระบบการเมืองที่พรรคการเมืองเป็นต้นเหตุ และมีการใช้มาตรการยุบ
1
พรรคการเมืองเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว และ (ข) เป็นประเทศที่ได้รับการยอมรับระดับ
สากลว่าปกครองในระบอบประชาธิปไตยเต็มรูปแบบ
ในการนี้ ผู้วิจัยจะอาศัยดัชนีชี้วัดการเคารพหลักนิติรัฐประจำปี ค.ศ. 2008
ในโครงการตัวชี้วัดธรรมาภิบาลระดับโลกของธนาคารโลก (The Worldwide
Governance Indicators project - WGI) และดัชนีชี้วัดความเป็นประชาธิปไตย
11
ค.ศ. 2008 (Democracy Index 2008) ของวารสาร The Economist เป็นฐานใน
12
11 โครงการตัวชี้วัดธรรมาภิบาลระดับโลกของธนาคารโลกนี้สำรวจข้อมูล 202 ประเทศทั่วโลก ระหว่างปี
ค.ศ. 1996 – 2008 โดยอาศัยเกณฑ์ 6 ข้อ ได้แก่ (ก) ความสำคัญและความรับผิดชอบต่อประชาชน (ข) ความ
มั่นคงทางการเมืองและการปราศจากการใช้ความรุนแรง (ค) ประสิทธิภาพของรัฐบาล (ง) คุณภาพของระบบ
ควบคุมกำกับของภาครัฐ (จ) การเคารพหลักนิติรัฐ และ (ฉ) การควบคุมการคอร์รัปชั่น โปรดดู http://
info.worldbank.org/governance/wgi/index.asp เข้าถึงข้อมูล ณ วันที่ 30 มกราคม 2553
12 ดัชนีชี้วัดความเป็นประชาธิปไตยของวารสาร The Economist สำรวจจาก 167 ประเทศทั่วโลก โดย
ใช้เกณฑ์ (1) การเลือกตั้งที่เสรีและเป็นธรรม (2) ความมั่งคงปลอดภัยของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง (3) อิทธิพลของต่างชาติ
ที่มีต่อรัฐบาล และ (4) ความสามารถของข้าราชการในการแปลงนโยบายสู่การปฏิบัติ จากนั้น จึงประมวลผลแบ่ง
เป็น 4 ระดับจากมากไปหาน้อยได้แก่ Full Democracy, Flawed Democracy, Hybrid Regime, และ
Authoritarian Regime ตามลำดับ โปรดดู http://www.economist.com เข้าถึงข้อมูล ณ วันที่ 30 มกราคม
2553