Page 316 - kpi12821
P. 316
แนวทางปรับปรุงกฏหมายเกี่ยวกับการยุบพรรคการเมือง
ลักษณะพฤติการณ์ที่ถือว่าร้ายแรงโดยสภาพ ได้แก่ การฉ้อโกงหรือ
“บิดเบือนเจตจำนงของประชาชน” กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ การทุจริตในผลการเลือกตั้ง
อย่างเช่นกรณีตัวอย่างของนายเจ็ดข้างต้นที่มีพฤติกรรมซื้อเจ้าหน้าที่เพื่อเปลี่ยนหีบบัตร
เลือกตั้ง และการใช้อำนาจรัฐโดยมิชอบสั่งการให้มีการเอื้อประโยชน์แก่ผู้สมัครและ
พรรคการเมืองของตนและกลั่นแกล้งคู่แข่งทางการเมืองอย่างกรณีของนายแปด ซึ่งก็
เป็นการ “บิดเบื้อนการใช้อำนาจรัฐเพื่อประโยชน์ในการเลือกตั้ง” หากการกระทำดัง
กล่าวดำเนินการอย่างเป็นระบบ ครอบคลุมหลายพื้นที่เช่นนี้ ย่อมส่งผลกระทบที่รุนแรง
กว้างขวาง และถือได้ว่า ละเมิดหลักประชาธิปไตยในเชิงกระบวนการ (Procedural
Democracy) อย่างร้ายแรง ซึ่งแน่นอน การกระทำดังกล่าวต้องมีกรรมการบริหาร
พรรค และสมาชิกพรรคจำนวนมากมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย อย่างน้อยที่สุดก็คือ
มีพฤติกรรมการสมรู้ร่วมคิด
อนึ่ง ข้อเสนอดังกล่าวยังมิได้ผ่านการศึกษาวิจัยและวิเคราะห์ในเชิงลึก
จึงขอเสนอให้มีการศึกษาวิจัยในเรื่องนี้ อย่างน้อยสามประเด็น อันได้แก่ ประเด็นแรก
ข้อห้ามตามกฎหมายเลือกตั้งที่มีอยู่ ณ มีความเหมาะสมหรือไม่ เช่น การห้ามจัดแสดง
มหรสพในการหาเสียงเลือกตั้ง อาจถือเป็นการละเมิดเสรีภาพในการแสดงออกเกิน
สมควรหรือไม่ เพราะเท่าที่ศึกษาเบื้องต้น ยังไม่พบว่า มีการกำหนดข้อห้ามนี้
ในกฎหมายของเลือกตั้งของประเทศประชาธิปไตยดั้งเดิมทั้งหลาย และผู้วิจัยยังไม่เห็น
พิษภัยของการแสดงมหรสพ แต่กลับเห็นว่าเป็นการดี เพราะจะทำให้ประชาชนสนใจมา
ร่วมรับฟังการหาเสียง ประเด็นที่สอง การปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบการบังคับใช้
กฎหมายเลือกตั้งในส่วนที่เกี่ยวกับการดำเนินการลงโทษผู้กระทำผิดซื้อเสียงเลือกตั้ง
139
และทุจริตเลือกตั้งอื่นๆ ก่อนจะนำไปสู่ประเด็นที่สามคือข้อห้ามตามกฎหมายเลือกตั้ง
ข้อใดที่จัดว่ามีพฤติการณ์ร้ายแรง และผลกระทบมากเพียงไรจึงจะถือว่ารุนแรง
อันสมควรกำหนดให้เป็นเหตุยุบพรรคการเมืองได้
4.1.2 องค์ประกอบเรื่อง “ผู้กระทำ”
ในคดียุบพรรคทั้งสามคดี ศาลรัฐธรรมนูญตีความบทบัญญัติมาตรา 237
วรรคสองในเรื่อง “ผู้กระทำ” ถูกต้องตามลายลักษณ์อักษรและถูกต้องตามตรรกะ
139 เท่าที่ตรวจสอบ ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2553 ยังไม่ปรากฎว่า มีการบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยการป้องกัน
และปราบปรามการฟอกเงินกับกรณีการทุจริตเลือกตั้ง ทั้งๆ ที่มาตรา 53 วรรคสองของกฎหมายเลือกตั้งกำหนด
ให้การฝ่าฝืนมาตราดังกล่าวเป็นความผิดมูลฐานตามกฎหมายฟอกเงิน ซึ่งในประเด็นนี้ สมควรต้องมีการศึกษาวิจัย
ในเชิงลึก เพราะผู้วิจัยเห็นว่า น่าจะเป็นวิธีการที่เกิดประสิทธิภาพในการปราบปรามการซื้อสิทธิขายเสียงมากกว่า
และกระทบสิทธิของบุคคลอื่นน้อยกว่าการยุบพรรคการเมือง; โปรดดู พรป. การเลือกตั้ง ส.ส. และการได้มาซึ่ง
ส.ว. 2550, ม.53 และ พรบ. ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน 2542.