Page 317 - kpi12821
P. 317
ณรงค์เดช สรุโฆษิต
การตีความกฎหมายที่ว่า “เมื่อกฎหมายห้ามกระทำสิ่งชั่วร้ายใดไว้สิ่งที่ชั่วร้ายมาก
140
กว่านั้นก็ย่อมถูกห้ามไปด้วย” ดังสำนวนว่า “ยิ่งต้องเป็นเช่นนั้น” (a fortiori)
กล่าวคือเมื่อผู้สมัครกระทำการฝ่าฝืนกฎหมายเลือกตั้งแล้วหัวหน้าหรือกรรมการบริหาร
พรรคมีส่วนรู้เห็น ปล่อยปละละเลย หรือทราบแล้วมิได้ยับยั้งแก้ไข ยังถือเป็นเหตุยุบ
พรรคการเมืองได้ แล้วเหตุไฉนเมื่อกรรมการบริหารพรรคการเมืองกระทำผิดเสียเอง
แล้วจะยุบพรรคไม่ได้ แต่อย่างไรก็ดี การตีความดังกล่าวกลับไม่สอดคล้องกับหลักนิติรัฐ
หลักนิติธรรม หลักความเสมอภาค หลักความได้สัดส่วน ฯลฯ ด้วยเหตุผลต่างๆ ที่กล่าว
มาแล้ว และแม้ว่า การให้พรรคการเมืองต้องร่วมรับผิดในการกระทำของกรรมการ
บริหารและผู้สมัครในนามของพรรคจะไม่ขัดต่อหลักความรับผิดของนิติบุคคลก็ตาม แต่
การให้นิติบุคคลต้องรับผิดถึงขนาดยุบเลิกนิติบุคคลเพียงเพราะการกระทำของคนๆ
เดียว ก็ไม่เป็นธรรมกับนิติบุคคลนั้น
ด้วยเหตุนี้ ผู้วิจัยจึงเสนอว่า การยุบพรรคการเมืองเพราะเหตุกระทำการ
ฝ่าฝืนกฎหมายเลือกตั้งและทำให้การเลือกตั้งมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรมนั้น จะ
เกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อมีองค์ประกอบในเรื่อง “ผู้กระทำ” ดังนี้
กรณีแรก กระทำโดยมติของคณะกรรมการบริหารพรรคการเมือง หรือมี
พฤติการณ์ที่อนุมานได้ว่า คณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองมีส่วนเกี่ยวข้องกับการ
กระทำผิดกฎหมาย ทั้งนี้ ให้พิเคราะห์จากพฤติกรรมของหัวหน้าพรรคและกรรมการ
บริหารพรรคหลายๆ คน ประกอบกัน
กรณีที่สอง กระทำโดยผู้สมัครหลายๆ คนของพรรคการเมืองอันทำให้
อนุมานได้ว่า พรรคการเมืองมีแนวทางสนับสนุนการกระทำผิดกฎหมาย
แต่ทั้งนี้ ต้องพิจารณาควบคู่ไปกับองค์ประกอบเรื่อง “การกระทำ” ตาม
ลักษณะความร้ายแรงของพฤติการณ์และความรุนแรงของผลกระทบที่มีต่อการเลือกตั้ง
ดังที่เสนอไว้ในข้อ 4.1.1 ด้วย
4.1.3 ผลทางกฎหมายสำหรับการกระทำที่ครบองค์ประกอบตาม 4.1.1
และ 4.1.2
ทั้งเนื้อความและการตีความมาตรา 237 วรรคสองตามแนววินิจฉัยปัจจุบัน
นำไปสู่การยุบพรรคการเมืองโดยอัตโนมัติ เมื่อข้อเท็จจริงเป็นอันยุติว่า กรรมการบริหาร
140 คดีพรรคชาติไทย, เรื่องเดิม, น. 99; คดีพรรคมัชฌิมาธิปไตย, เรื่องเดิม, น. 17; คดีพรรคพลังประชาชน,
เรื่องเดิม, น. 24.