Page 190 - kpiebook67026
P. 190
189
การคุ้มครองอัตลักษณทางเพศสภาพของบุคคลโดยจะต้องบัญญัติรับรองให้บุคคลทุกคน
จะได้รับการปฏิบัติอย่างมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย ตลอดจนในการบังคับใช้กฎเกณฑ
ข้อบังคับ รวมถึงกระบวนการที่มีอยู่จะต้องให้ความเคารพต่อสิทธิในอัตลักษณ
ทางเพศสภาพของบุคคล อีกทั้งจะต้องห้ามมิให้น�ากฎเกณฑ ข้อบังคับ รวมถึง
กระบวนการที่มีอยู่มาใช้ในลักษณะจ�ากัด กีดกัน หรือท�าให้การบังคับใช้สิทธิใน
อัตลักษณทางเพศสภาพของบุคคลต้องเสื่อมถอยลง และกฎเกณฑทุกประการจะต้อง
ถูกน�าไปใช้ในลักษณะของการตีความ และบังคับใช้เพื่ออ�านวยให้เกิดการเข้าถึงสิทธิ
ในอัตลักษณทางเพศสภาพของบุคคลด้วย
ทั้งนี้ มาตรการดังกล่าวจะต้องถูกน�าไปใช้บังคับภาคเอกชน รวมถึงหน่วยงาน
และเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งมีหน้าที่จัดท�าบริการสาธารณะทั้งหลาย ตลอดจนเจ้าหน้าที่
และผู้มีอ�านาจหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการรักษาข้อมูลส่วนบุคคลหรือจัดเก็บข้อมูล
เกี่ยวกับเพศของบุคคล และเพื่อเป็นการสร้างหลักประกันในการบังคับใช้กฎหมาย
จะต้องมีการก�าหนดกรอบระยะเวลาในการจัดท�ากฎหมาย กฎ ระเบียบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง
ตลอดจนการแก้ไขแบบฟอรมต่าง ๆ เพื่อปรับปรุงให้สอดคล้องกับมาตรฐานใหม่
ที่ถูกก�าหนดขึ้นโดยกฎหมายรับรองเพศสภาพฉบับนี้
5.2.2 ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายและแนวทางการขับเคลื่อน
กฎหมายรับรองเพศสภาพ
(1) ประเด็นการขับเคลื่อนเชิงแนวคิด
จากบทเรียนของต่างประเทศ ท�าให้ในบริบทสังคมไทยจ�าเป็นต้องตกผลึก
และก�าหนดเป้าหมาย กระบวนการ และผลลัพธจากการขับเคลื่อนกฎหมายฉบับนี้
ให้ชัดเจนในหลากหลายประเด็น ได้แก่ หลักการของกฎหมายที่ก�าลังสร้างแนวคิดใหม่
ให้กับสังคมในการให้ความส�าคัญกับการแสดงเจตจ�านงในการนิยามตนเองมากกว่า
ค�าวินิจฉัย ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญ กระบวนการต่าง ๆ ทางการแพทย หรือผู้มีอ�านาจ
ตามกฎหมาย ซึ่งจะส่งผลต่อการสื่อสารและรับรู้ของคนทั่วไปในสังคม และอาจส่งผล
ต่อเนื่องไปยังกฎหมาย นโยบายอื่น ๆ ของสังคมที่ต้องให้ความส�าคัญกับการแสดง
เจตจ�านงในการนิยามตนเอง เช่น กฎหมายสมรสเท่าเทียม กฎหมายแก้ไขกฎหมาย
การปราบปรามการค้าประเวณี กฎหมายการุณยฆาต เป็นต้น