Page 34 - kpiebook66015
P. 34

วุฒิสภา พ.ศ. 2554 ขัดรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน โดยให้เหตุผลว่า การที่รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันบัญญัติ

               ประเด็นเกี่ยวกับอ านาจสอบสวนของคณะกรรมาธิการแตกต่างจากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
               พุทธศักราช 2550 นั้น ก็แสดงว่าต้องการให้มีเจตนารมณ์เปลี่ยนหลักการการด าเนินงานของคณะกรรมาธิการ
               โดยแก้ไขค าว่า “การสอบสวน” เป็น “การสอบหาข้อเท็จจริง” และยังมีการตัดค าว่า “...และให้ค าสั่งเรียก

               ดังกล่าวมีผลบังคับตามที่กฎหมายบัญญัติ” ออกไป อีกทั้งยังมีการใช้ค าว่าให้มีอ านาจ “เรียก” แทนค าว่า
               “ออกค าสั่งเรียก” ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า “...โดยอ านาจเรียกเป็นการเชิญหรือการขอความร่วมมือจาก

               บุคคล....ส่วนการออกค าสั่งเรียก...เป็นการออกค าสั่งที่ประสงค์ให้มีผลบังคับทางกฎหมาย...” ดังนั้น
                                                                                                     44
               การก าหนดโทษแก่ผู้ฝ่าฝืนค าสั่งเรียกของคณะกรรมาธิการ จึงไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ

                        อย่างไรก็ตาม ประเด็นดังกล่าวนี้ พรสันต์ เลี้ยงบุญเลิศชัย ได้ให้ความเห็นว่าแม้ในช่วงที่มีการบังคับ
               ใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 และยังมีการบังคับใช้พระราชบัญญัติค าสั่งเรียกของ
               คณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา พ.ศ. 2554 ก็ตาม ทั้งที่การออกค าสั่งเรียกจะแลดูเป็นสิ่งที่

               มีผลทางกฎหมายและมีความเข้มข้น และเมื่อมีการออกค าสั่งเรียก ผู้ที่ถูกเรียกก็จ าเป็นต้องปฏิบัติตามกฎหมาย
               ก็ตาม แต่คณะกรรมาธิการเองก็ไม่เข้าใจลักษณะโดยธรรมชาติของการออกค าสั่งแบบนี้ โดยคณะกรรมาธิการ

               บางส่วนอาจเห็นว่าถ้าหากออกค าสั่งเรียกตามกฎหมาย ก็อาจไม่ได้รับความร่วมมือหรืออาจถูกปฏิเสธ ส่งผลให้
               ในทางปฏิบัติมีการเลี่ยงการออกค าสั่งไปใช้การ “เชิญ” หรือการขอความร่วมมือแทนและในช่วงที่มีการฝ่าฝืน

               ก็อาจไม่มีการบังคับด าเนินคดีอาญาตามที่กฎหมายก าหนด ซึ่งพรสันต์เองก็มองว่า การใช้อ านาจดังกล่าวนั้น
               อยู่ในช่วงที่คณะกรรมาธิการจะต้องก าลังเรียนรู้และพัฒนา แต่การเรียนรู้และพัฒนาดังกล่าวก็ถูกท าให้สะดุด

               หยุดลงเนื่องจากค าวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญดังกล่าวข้างต้น จึงท าให้การใช้อ านาจในการออกค าสั่งเรียกเพื่อ
               ประโยชน์ในการแสวงหาข้อเท็จจริงของคณะกรรมาธิการกซึ่งแต่เดิมก็มีสภาพบังคับที่ชัดเจนน้อยอยู่แล้ว ก็ยิ่ง
                                                             45
               กลายเป็นการบัญญัติที่ท าให้สภาพบังคับด้อยลงกว่าเดิม

                        จากกลไกเกี่ยวกับการควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินที่กล่าวถึงทั้งหมดข้างต้น จะเห็นได้ว่า
               ตั้งแต่การประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 เป็นต้นมา รัฐธรรมนูญฉบับ

               ดังกล่าวได้มุ่งสร้างความเข้มแข็งและความมีเสถียรภาพให้แก่รัฐบาล จนท าให้เกิดกรณีใน พ.ศ. 2548 ที่พรรค
               การเมืองที่ได้รับเสียงข้างมากได้รับคะแนนเสียงมากจนท าให้พรรคฝ่ายค้านในรัฐสภาไม่สามารถขอเปิด

               อภิปรายเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจได้ ท าให้กลไกการควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินเพียงอย่างเดียวที่พรรคฝ่าย
               ค้านสามารถท าได้คือการตั้งกระทู้ถาม โดยในช่วง 4-5 ปี ก่อน พ.ศ. 2549 อ านาจรัฐเกือบทั้งหมดได้ถูกผูกขาด
               อยู่กับคนเพียงคนเดียวหรือกลุ่มเดียวและยากที่จะท าให้เกิดการตรวจสอบกันได้จนมีการกล่าวกันว่ารัฐบาลใน

               ขณะนั้นสามารถควบคุม ทั้งฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารได้ และมีการด าเนินนโยบายหลายประการที่ส่งผล
               ให้เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชน เช่น การใช้อ านาจปราบปรามประชาชนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือ

               แม้แต่การปราบปรามผู้มีอิทธิพลและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับยาเสพติดด้วยวิธีการที่ใช้ความรุนแรง ซึ่งแม้ว่า
               จะมีการกล่าวว่าปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาที่บุคคลไม่ใช่ปัญหาในระบบ แต่สมคิด เลิศไพฑูรย์ ก็เห็นว่า

               ไม่สามารถปฏิเสธได้อย่างชัดเจนว่ารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ไม่เป็นกุญแจส าคัญ



               44  ค าวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 17/2563
               45  พรสันต์ เลี้ยงบุญเลิศชัย, เรื่องเดียวกัน หน้า 184



      33
   29   30   31   32   33   34   35   36   37   38   39