Page 31 - kpiebook66015
P. 31

2) การอภิปรายไม่ไว้วางใจสามารถน าไปสู่การปรับคณะรัฐมนตรีหรือเปลี่ยนรัฐมนตรีใหม่ได้

               ทั้งนี้ แม้ว่าในบางกรณี การเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจไม่สามารถท าให้นายกรัฐมนตรีพ้นจากต าแหน่ง หรืออาจไม่
               สามารถน าไปสู่การยุบสภาได้ แต่ก็อาจน าไปสู่การปรับคณะรัฐมนตรี หรือเปลี่ยนรัฐมนตรีบางคนได้เพื่อรักษา
               ภาพลักษณ์ของรัฐบาลหรือลดแรงกดดันจากรัฐสภา เช่น กรณีใน พ.ศ. 2551 มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล

               ซึ่งน าโดยนายสมัคร สุนทรเวช และรัฐมนตรีอีก 7 คน แม้ว่าสุดท้ายผลการลงมติไม่ไว้วางใจ คือ รัฐมนตรี
               ทั้งหมดได้รับความไว้วางใจ และไม่มีการยุบสภา แต่นายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการ

                                                             41
               ต่างประเทศในขณะนั้นได้ตัดสินใจลาออกจากต าแหน่ง โดยส่วนหนึ่งของเหตุผลในการลาออกนั้น เนื่องจาก
               นายนพดล ปัทมะ ได้คะแนนความไว้วางใจน้อยกว่ารัฐมนตรีคนอื่น ๆ


                        นอกจากนี้ ยังมีกรณีที่รัฐบาลน าโดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และรัฐมนตรีอีก 5 คน ถูกเปิดอภิปราย
               ไม่ไว้วางใจใน พ.ศ. 2553 และแม้ว่าสุดท้ายนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และรัฐมนตรีคนอื่นจะได้รับการลงมติ
               ไว้วางใจ แต่ก็มีการปรับคณะรัฐมนตรีโดยน ารัฐมนตรีจากพรรคเพื่อแผ่นดินออก เนื่องจากสมาชิกสภาผู้แทน

               ราษฎรของพรรคดังกล่าวได้ลงคะแนนไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีจากพรรคภูมิใจไทยซึ่งเป็นพรรคร่วมรัฐบาลโดยมี
                                                    42
               เหตุผลส าคัญคือรักษาเสถียรภาพของรัฐบาล

                         ดังนั้น จากที่กล่าวมาข้างต้นจะเห็นได้ว่า แม้ว่ากลไกการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจในประเทศไทยจะ
               ไม่เคยท าให้นายกรัฐมนตรีพ้นจากต าแหน่งโดยตรงได้มาก่อน แต่การเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจก็ส่งผลกระทบต่อ

               การเมืองโดยเฉพาะอย่างยิ่งฝ่ายบริหาร โดยอาจท าให้เกิดการปรับคณะรัฐมนตรี หรืออาจน าไปสู่การยุบสภา
               เนื่องจากถูกกดดันจากรัฐสภาและประชาชน


                       3.2.4 การก าหนดประเด็นเกี่ยวกับการควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินโดยคณะกรรมาธิการ :
               อ านาจในการแสวงหาข้อเท็จจริงของคณะกรรมาธิการ
                        ดังที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น ในระบบรัฐสภานั้น นอกจากฝ่ายนิติบัญญัติจะมีอ านาจและหน้าที่ในการ

               พิจารณาและการตรากฎหมายแล้ว อีกหนึ่งในอ านาจและหน้าที่ส าคัญของรัฐสภาก็คือการควบคุมการบริหาร
               ราชการแผ่นดินของฝ่ายบริหาร (Control of Administration) ซึ่งได้แก่การมีส่วนในการเลือกผู้ด ารงต าแหน่ง

               ทางการเมืองที่จะท าหน้าที่ในฝ่ายบริหาร และตรวจสอบการท างานของฝ่ายบริหาร และเพื่อให้การท าหน้าที่
               ดังกล่าวของฝ่ายนิติบัญญัติเป็นไปได้ด้วยดี จึงจ าเป็นต้องมีการก าหนดให้ฝ่ายนิติบัญญัติมีอ านาจสอบสวนโดย

               จ ากัดการสอบสวนอยู่ที่การท าหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติเท่านั้น และในเมื่อการท างานของสมาชิกรัฐสภามักจะ
               อยู่ในรูปแบบของ “คณะกรรมาธิการ” ดังจะเห็นได้จากการตั้งคณะกรรมาธิการไม่ว่าจะเป็นคณะกรรมาธิการ

               สามัญหรือคณะกรรมาธิการวิสามัญทั้งในสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา โดยคณะกรรมาธิการในสภานี้จะท า
               หน้าที่แบ่งเบาภารกิจของรัฐสภาใหญ่ และเพื่อให้การท างานของคณะกรรมาธิการเป็นไปได้ด้วยดี จึงได้เกิดการ
               สร้างเครื่องมือส าคัญทางกฎหมายเพื่อสนับสนุนการท างานของคณะกรรมาธิการ นั่นคือ การถ่ายโอนอ านาจใน






               41  ประชาไท. นพดล ปัทมะ : ค าต่อค ากรณีปราสาทพระวิหารและการลาออก. สืบค้นเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2564 จาก
               https://prachatai.com/journal/2008/07/17330
               42  ประชาไท. ผลลงมติ “ชวรัตน์-โสภณ” รมต. จากภูมิใจไทย เจอ ส.ส. พรรคร่วมโหวตสวนไม่ไว้วางใจ. สืบค้นเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม
               2564 จาก https://prachatai.com/journal/2010/06/29860



                                                                                                            30
   26   27   28   29   30   31   32   33   34   35   36