Page 184 - kpiebook65071
P. 184
183
4.3.3 การลบหรือท�าลายข้อมูลเมื่อข้อมูลส่วนบุคคล
หมดความจ�าเป็นที่จะต้องถูกประมวลผลตามวัตถุประสงค์
กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของต่างประเทศนั้น
บัญญัติให้มีการลบ ทำาลาย หรือทำาให้ข้อมูลที่ไม่สามารถระบุตัวบุคคล
ที่เป็นเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลได้ในกรณีที่ข้อมูลส่วนบุคคล “หมดความจำาเป็น”
ที่จะต้องถูกใช้ตามวัตถุประสงค์ของการเก็บรวบรวม เช่น GDPR ซึ่งใช้ถ้อยคำาว่า
281
“เมื่อข้อมูลส่วนบุคคลหมดความจ�าเป็นเพื่อการประมวลผลข้อมูลอีกต่อไป”
HK PDPO 1996 ที่ใช้ถ้อยคำาว่า “เมื่อข้อมูลส่วนบุคคลหมดความจ�าเป็น
ส�าหรับวัตถุประสงค์ของการใช้ข้อมูล” TW PDPA 2015 ซึ่งบัญญัติว่า
282
“เมื่อวัตถุประสงค์ของการเก็บรวบรวมข้อมูลหมดลง ซึ่งอาจเป็นผลจาก
การพ้นผ่านไปของเวลา หน่วยงานรัฐหรือองค์กรนอกภาครัฐจะต้องลบหรือหยุด
283
ประมวลผลข้อมูล” ซึ่งสอดคล้องกับตัวบทกฎหมายของมาตรา 33 และ
มาตรา 37 (3) ของพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562
อย่างไรก็ตาม กรณีนี้มีข้อสังเกตว่าตัวบทกฎหมายเหล่านี้ถูกบัญญัติขึ้น
โดยใช้ถ้อยคำาที่มีความยืดหยุ่นและเปิดโอกาสให้มีการปรับใช้กฎหมาย
ให้เหมาะสมกับกรณี ด้วยเหตุนี้ การปรับใช้กฎหมายจึงมิอาจหลีกเลี่ยง
การพิจารณาข้อเท็จจริงเป็นรายกรณี ซึ่งสามารถแสดงได้ตามตัวอย่าง ดังต่อไปนี้
4.3.3.1 การพิจารณาข้อเท็จจริงในเรื่องเวลาพ้นผ่านไป
การพิจารณาว่า “ข้อมูลส่วนบุคคลหมดความจำาเป็นหรือไม่
และเมื่อใด” นั้น เป็นข้อพิจารณาสำาคัญในการคุ้มครองสิทธิที่จะถูกลืม
เช่น คดี Hurbain v. Belgium แสดงให้เห็นว่าสำานักพิมพ์ (Le Soir) นั้น
281 GDPR, Article 17 วรรค 1 (a).
282 Personal Data (Privacy) Ordinance (1996), Section 26 (1).
283 Personal Data Protection Act 2015, Article 11.