Page 58 - kpiebook63012
P. 58

58    การศึกษาความเคลื่อนไหวทางการเมือง และพฤติกรรมการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2562 จังหวัดพะเยา








                      สำาหรับพฤติกรรมการเลือกตั้ง จากการศึกษาของ สิริพรรณ นกสวน สวัสดี (2554) เรื่อง บทบาท

             พรรคการเมืองและพฤติกรรมและการตัดสินใจเลือกตั้งของประชาชนในสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมือง
             ในการเลือกตั้ง พ.ศ. 2554 พบว่า ประชาชนสนใจกับชุดนโยบายของพรรคการเมืองมากยิ่งขึ้น โดยพรรคการเมือง

             พยายามเสนอนโยบายให้กับประชาชนในลักษณะที่ครอบคลุมทุกด้าน และประชาชนแสดงพฤติกรรมในการ
             ลงคะแนนเสียงผ่านการตัดสินใจด้วย “ตัวเอง” มากขึ้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่าอิทธิพลของในการชักจูงของแกนนำา

             หัวคะแนน นักการเมืองท้องถิ่นและเจ้าหน้าที่รัฐลดลง และยังทำาให้เห็นว่า ประชาชนมีการเรียนรู้ทางการเมือง
             มากยิ่งขึ้น สอดคล้องกับการศึกษาของ อภิชาต สถิตนิรามัย และคณะ (2556) ในการทบทวนภูมิทัศน์การเมืองไทย

             โดยอธิบายการเปลี่ยนแปลงสถาบันทางการเมืองตั้งแต่การมีรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 สถาบันการเมืองแบบใหม่นี้
             ในทางหนึ่งสร้างแรงจูงใจให้นักการเมืองตอบสนองความต้องการของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งมากขึ้น โดยสร้างนโยบาย

             ในขอบเขตระดับชาติ และการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมในรอบยี่สิบปีที่ผ่านมา ทำาให้ความสัมพันธ์
             ของผู้คนในสังคมได้เปลี่ยนแปลงไปโดยรากฐาน โดยแม้ความสัมพันธ์แบบอุปถัมภ์ยังคงมีอยู่ แต่ความสัมพันธ์

             แนวตั้งแบบนี้ไม่ได้เป็นลักษณะของสังคมอีกต่อไป ตรงกันข้ามความสัมพันธ์ในลักษณะอื่น ๆ โดยเฉพาะใน
             เชิงแนวนอนจะมีความสำาคัญเพิ่มขึ้น กล่าวคือ ในหลายท้องถิ่นมีการสร้างความสัมพันธ์ทางสังคมแบบใหม่

             ซึ่งมีลักษณะสังคมในแบบเครือข่ายแนวนอนที่มีความซับซ้อน ยืดหยุ่น และผันแปรอยู่เสมอ


                      ทั้งนี้ สมบัติ จันทรวงศ์ ((2536, ... ณสดมภ์ ธิติปรีชา, 2554) ได้ทำาการศึกษาวิจัยพฤติกรรมเบี่ยงเบน
             ในการหาเสียงเลือกตั้งในช่วงระยะเวลาก่อนปี 2536 (ในนัยยะนี้หมายถึงพฤติกรรมที่ไม่ดี ไม่พึ่งประสงค์

             ซึ่งถือว่าเป็นวิกฤตในการเลือกตั้งของสังคมไทย) ระบุว่า สาเหตุที่ก่อให้เกิดพฤติกรรมที่เบี่ยงเบนมาจากสาเหตุ
             7 ประการ คือ ประการที่หนึ่ง ความเหลื่อมลำ้าทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ก่อให้เกิดระบบอุปถัมภ์ระหว่าง

             นักการเมืองและประชาชน ง่ายต่อการซื้อสิทธิ์ขายเสียง หรือการนำาเอางบประมาณมาทุ่มพัฒนาฐานเสียงของตน
             เป็นการเมืองแบบจัดสรรผลประโยชน์ (Pork – Barrel Politics) ประการที่สอง สาเหตุด้านวัฒนธรรมและทัศนคติ

             สืบเนื่องจากเหตุผลประการแรก ทำาให้ทั้งตัวประชาชนและผู้สมัครลงเลือกตั้ง มองพฤติกรรมที่เบี่ยงเบนเหล่านี้
             ดังเช่น การสร้างเครือข่ายอุปถัมภ์ การซื้อสิทธิ์ขายเสียง การแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ กลายเป็นเรื่องปกติที่ใคร ๆ

             ก็ทำากัน นักการเมืองจึงดำารงสถานะในฐานะผู้อุปถัมภ์นั่นเอง ประการที่สาม ความหย่อนยานของการบังคับใช้
             กฎหมายที่ปล่อยปะละเลยกฎหมายที่ดี เสมือนว่าจะเน้นหลักความเสมอภาคของผู้เข้าแข่งขันและเสรีภาพของ

             ผู้เลือกตั้ง แต่การปฏิบัติจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ เพราะไม่มีการบังคับใช้อย่างจริงจังปล่อยปะละเลย จนกลายเป็น
             วัฒนธรรมทางการเมืองของสังคมไทยอย่างหนึ่งไปเสียแล้ว อีกทั้งการจัดการเลือกตั้งที่ทำาตามข้าราชประจำา

             ผลคือทำาให้นักการเมืองสามารถควบคุมและมีผลได้ผลเสียต่อการเลือกตั้งได้ ข้าราชการจึงตกอยู่ใน
             ภาวะลำาบากในการตรวจสอบความโปร่งใสในการเลือกตั้ง ประการที่สี่ เขตเลือกตั้งที่ใหญ่จนเกินไป กล่าวคือ

             ทำาให้ยุทธศาสตร์อื่น ๆ ในการเลือกตั้งนั้นยากลำาบาก การกระทำาพฤติกรรมเบี่ยงเบนในการเลือกตั้ง
             ผ่านการซื้อสิทธิ์ขายเสียงดูจะเป็นตัวเลือกที่ง่ายกว่าในการเข้าถึง และสะดวกกว่าในการคำานวณฐานเสียง

             ประการที่ห้า ความอ่อนแอของระบบพรรคการเมือง เนื่องจากพรรคการเมืองไทยเป็นเพียงแค่การรวมตัว
             หลวม ๆ เพื่อได้สิทธิในการลงสมัครรับเลือกตั้งเพียงเท่านั้น แต่เน้นการหาเสียงและยุทธศาสตร์ของตัวบุคคล

             เสียมากกว่า ประการที่หก ระบบการเลือกตั้ง แบบแบ่งเขต-เรียงเบอร์ ระบบการเลือกตั้งเช่นนี้เปิดโอกาสให้เกิด
   53   54   55   56   57   58   59   60   61   62   63