Page 208 - kpiebook62008
P. 208
๑๗๗
๓๖๒. เมื่อพิจารณาหน้าที่และสิทธิของผู้เสียภาษีในประเทศไทยแล้วจะพบว่าแม้ว่าประเทศไทยจะมีการสร้าง
ความสมดุลระหว่างหน้าที่และสิทธิของผู้เสียภาษีอยู่พอสมควร แต่กระบวนการดังกล่าวยังคงมีปัญหาเกี่ยวกับ การ
จัดทำนโยบายภาษียังขาดความเป็นเอกภาพและความต่อเนื่อง การประกันสิทธิของผู้เสียภาษีในการตรากฎหมาย
ภาษี หน่วยงานผู้มีหน้าที่จัดเก็บภาษียังมีกระบวนการทำความเข้าใจกับผู้เสียภาษีที่ไม่แน่นอนเพียงพอ ในขณะที่
กระบวนการประเมินภาษีและการโต้แย้งคัดค้านการประเมินภาษียังขาดหลักกฎหมายที่มีความแน่นอนและเป็น
ธรรมต่อผู้เสียภาษี และระบบงบประมาณยังขาดความสมดุลผู้วิจัยมีข้อเสนอแนะดังต่อไปนี้
๑. ในประเด็นเกี่ยวกับยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ ผู้วิจัยเห็นว่ายุทธศาสตร์ชาติและ
แผนการปฏิรูปประเทศมีส่วนส่งเสริมและสนับสนุนการสร้างสมดุลระหว่างหน้าที่และสิทธิของผู้เสียภาษี แต่
ยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศอาจมีความไม่เหมาะสมเมื่อยุคสมัยเปลี่ยนแปลงไป คณะกรรมการ
ยุทธศาสตร์ชาติจึงควรเฝ้าระวังยุทธศาสตร์ชาติที่เกี่ยวกับภาษี และควรทบทวนความเหมาะสมของยุทธศาสตร์ชาติ
ที่เกี่ยวกับภาษีเพื่อปรับปรุงให้เหมาะสมอย่างทันถ่วงทีโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา ๑๑ แห่งพระราชบัญญัติการ
จัดทำยุทธศาสตร์แห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๐
๒. ในประเด็นเกี่ยวกับองค์กรที่กำหนดนโยบายและมาตรการทางภาษี ในปัจจุบัน หน่วยงานผู้ริเริ่ม
นโยบายภาษีค่อนข้างมีความหลากหลาย นโยบายภาษีจึงขาดความเป็นเอกภาพและขาดหลักประกันการคุ้มครอง
สิทธิของผู้เสียภาษี ผู้วิจัยจึงเห็นควรให้มีการจัดตั้ง “คณะกรรมการที่ปรึกษานโยบายภาษีแห่งชาติ” ซึ่งประกอบไป
ด้วยผู้เชี่ยวชาญทางภาษีอากรและทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษารัฐบาลในการจัดทำนโยบายและมาตรการทางภาษี
๓. ในประเด็นเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การตรากฎหมายภาษีในรัฐธรรมนูญ ในปัจจุบัน การตรากฎหมายเพื่อ
จำกัดสิทธิของผู้เสียภาษีจำเป็นต้องใช้หลักเกณฑ์เดียวกับการจำกัดสิทธิในทรัพย์สิน จึงก่อให้เกิดการมอบอำนาจให้
ฝ่ายบริหารในการตรากฎหมายลำดับรองเพื่อกำหนดโครงสร้างภาษีที่สำคัญ ผู้วิจัยจึงเห็นควรให้มีการบัญญัติ
หลักเกณฑ์การตรากฎหมายเพื่อจำกัดสิทธิของผู้เสียภาษีขึ้นเป็นการเฉพาะไว้ในรัฐธรรมนูญพร้อมทั้งกำหนดกรอบ
การมอบอำนาจให้ฝ่ายบริหารในการตรากฎหมายลำดับรอง
๔. ในประเด็นเกี่ยวกับการใช้ระบบการตอบหนังสือข้อหารือ การตอบหนังสือข้อหารือในปัจจุบันยังไม่มี
กฎหมายให้ใช้บังคับอย่างเป็นรูปธรรม จึงไม่มีผลผูกพันกับกรมสรรพากรและยังมิได้มีการกำหนดระยะเวลาการ
ตอบหนังสือข้อหารือ การทำความเข้าใจกับผู้เสียภาษีจึงยังขาดความแน่นอนและยังก่อความไม่เป็นธรรมแก่ผู้เสีย
ภาษี ผู้วิจัยจึงเห็นให้เพิ่มเติมหมวดว่าด้วยการตอบหนังสือข้อหารือในประมวลรัษฎากรโดยกำหนดให้การตอบ