Page 56 - kpiebook62006
P. 56
51
1944 จึงมีการสถาปนาองค์การสหประชาชาติเพื่อแก้ไขปัญหานานาประเทศไม่ว่าจะเป็นทางเศรษฐกิจ
สังคม และการเมือง ภายหลังนั้นสหประชาชาติได้มีการลงมติรับรองกฎบัตรสหประชาชาติ ในปี ค.ศ. 1945
กฎบัตรสหประชาชาติได้บัญญัติคุ้มครองสิทธิของมนุษย์ไว้อย่างกว้าง ๆ มิได้ก าหนดการ
คุ้มครองสิทธิที่ชัดเจนมากนักและไม่มีกลไกเฉพาะด้านที่จะให้การคุ้มครองสิทธิอย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น
จึงมีการผลักดันให้มีกฎหมายเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนขึ้นมา คือ ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน
ซึ่งปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนนี้ถือเป็นเอกสารส าคัญในทางระหว่างประเทศที่คุ้มครองสิทธิพลเมือง
และสิทธิทางการเมืองไว้ การที่องค์การสหประชาชาติเป็นองค์กรที่มีประเทศสมาชิกหลากหลายประเทศ
ซึ่งต้องผูกพันปฏิบัติตามกฎบัตรสหประชาชาติท าให้หลักการแพร่หลายพัฒนาไปสู่การเป็นหลักการใน
กฎหมายระหว่างประเทศที่หลายประเทศยึดถือ
2.2.2 สิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองใ น ประเทศไทย
การคุ้มครองสิทธิพลเมืองของประเทศไทยปรากฏตั้งแต่สมัยสุโขทัย ดังที่ปรากฏในศิลา
จารึกของพ่อขุนรามค าแหง ที่จารึกเรื่องการสั่นกระดิ่งหน้าประตูเพื่อให้ราษฎรได้รับสิทธิในการทูลเกล้า
ถวายฎีกาต่อพระมหากษัตริย์โดยตรง ต่อมาในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น การคุ้มครองสิทธิพลเมืองและ
สิทธิทางการเมืองก็มีความเป็นรูปธรรมมากขึ้น โดยปรากฏในกฎหมายตราสามดวง
ภายหลังจากที่ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
เป็นระบอบประชาธิปไตย ซึ่งถือว่าเป็นจุดเริ่มที่สะท้อนถึงการให้ความส าคัญของสิทธิมนุษยชนซึ่งส่วนใหญ่
เกี่ยวข้องกับสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองได้เข้ามามีบทบาทขึ้นในสังคมไทย ได้มีการบัญญัติรองรับ
สิทธิ และการคุ้มครองสิทธิไว้ในกฎหมายสูงสุดของประเทศ คือ รัฐธรรมนูญ และในกฎหมายรูปแบบอื่น เช่น
พระราชบัญญัติ พระราชกฤษฎีกา เป็นต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐธรรมนูญไทยแห่งราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช 2540 ที่ได้ให้ความส าคัญกับระบอบประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วมผ่านการขับเคลื่อนของภาค
พลเมือง มุ่งที่จะคุ้มครองสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองของประชาชน เช่น สิทธิของบุคคลในครอบครัว
สิทธิในเกียรติยศ ชื่อเสียง ความเป็นอยู่ส่วนตัว สิทธิที่เกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรม เช่น สิทธิในการ
พิจารณาคดี ก าหนดเงื่อนไขในการลงโทษบุคคลโดยบุคคลจะรับโทษเมื่อมีกฎหมายบัญญัติไว้ หรือใน
คดีอาญาต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือจ าเลยไม่มีความผิดก่อนที่จะมีค าพิพากษาอันถึงที่สุดแสดงว่า
บุคคลใดกระท าความผิด ซึ่งจะปฏิบัติต่อบุคคลนั้นเสมือนเป็นผู้กระท าความผิดไม่ได้ เป็นต้น