Page 102 - b29256_Fulltext
P. 102
วันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2470 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จเป็นประธานร่วมประชุมกับอภิรัฐมนตรีอีก 5
พระองค์ ได้มีการยกเรื่องร่างพระราชบัญญัติการตั้งสภาการสาธารณสุขประจำชาติขึ้นมาเป็นวาระในการประชุมวันนั้น
เพื่อจะได้มีพระบรมราชวินิจฉัยต่อไป โดยทรงตั้งกระทู้ถึงเรื่องสภาพของสภาการสาธารณสุขประจำชาติที่ไม่ชัดเจนว่า
เป็นอิสระหรืออยู่ในบังคับของเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยกันแน่ กรมพระนครสวรรค์จึงได้กราบบังคมทูลว่า โดยริเริ่ม
นั้นจะให้สภาดังกล่าวนี้เป็นที่ประสานงานสาธารณสุขและให้คำแนะนำทางสาธารณสุขเท่านั้น เพื่อให้งานที่ไม่ซับซ้อน
กันตามอย่างต่างประเทศ แต่อย่างไรก็ตามหม่อมเจ้าสกลวรรณ อธิบดีสาธารณสุขได้ปรึกษาต่อกรมพระนครสวรรค์
เสนาบดีมหาดไทยในเวลานั้นหลายครั้งด้วยกันถึงปัญหาที่เกรงว่าคิดจะทำอะไรไป รัฐบาลก็จะคัดค้าน สิ่งไหนควรทำ ก็
มีเงินจะทำ กรมพระนครสวรรค์จึงชี้แจงต่อหม่อมเจ้าสกลวรรณต่อเรื่องนี้ไปว่า สภามีหน้าที่แค่แนะนำ สุดแต่รัฐบาลจะ
ทำไป ถึงอย่างไรการให้คำแนะนำย่อมเป็นผลดีต่อกรมสาธารณสุข หม่อมเจ้าสกลวรรณจึงไปหาหมอแอร์ (Ayer) เป็นผู้
ร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวนี้ขึ้น ซึ่งการที่กล่าวไปว่าการมีสภาให้คำแนะนำเพื่อเป็นการสนับสนุนกรมสาธารณสุขเป็น
การใช้คำที่ Abuse (ในทางที่ผิด) ไปหน่อย ทำให้หม่อมเจ้าสกลวรรณจึงได้รับความลำบากมาก เช่น คิดทำ
สมุหเทศาภิบาล ก็ไม่ทำตามบ้าง กระทรวงพระคลังฯ ไม่ให้เงินบ้าง จึงมีการมัดให้เอาคนของกระทรวงพระคลังฯ มานั่ง
อยู่ในสภาดังกล่าวนี้ด้วย สภาการสาธารณสุขนี้จึงมีลักษณะกลายเป็น Executive (การบริหาร) ไป ซึ่งตามความจริง
แล้วแค่ต้องการเพียงแค่ความเห็นในเชิง Scientific (เชิงวิทยาศาสตร์) เท่านั้น ดังนั้นจึงทรงมีดำริเห็นคว่าควรแก้
Principle (หลักการ) ของการนี้คือ 1. ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการสาธารณสุขให้เป็นแค่กรรมการที่ปรึกษา และให้คนที่
เกี่ยวกับ Health Institution (สถาบันสาธารณสุข) ไม่ว่าจะเป็นของรัฐบาลหรือบุคคลเข้ามาเป็นกรรมการ 2. ให้มี
หน้าที่แนะนำและออกความเห็น จากนั้นพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงได้มีพระราชดำรัสถามถึงตามความ
มาตรา 4 ข้อ 4 ที่ว่าให้สภาเป็นผู้มีดำริออกความเห็นทำกฎหมาย แล้วประหนึ่งว่ากระทรวงต้องทำตาม จึงได้มี
พระราชดำริว่าให้สภาแค่ Recommend กฎหมายเท่านั้น เจ้ากระทรวงทำตามหรือไม่ก็ได้ และส่วนในเรื่องโรงเรียน
239
แพทย์ทางกระทรวงธรรมการก็คัดค้านอยู่
เสนาบดีกระทรวงมหาดไทยจึงได้กราบบังคมทูลตอบกลับว่า ได้มีการตกลงกันกับหม่อมเจ้าสกลวรรณแล้วว่า
จะตัดตอนท้ายของมาตรา 4 ข้อ 4 ออกทั้งหมดที่ว่าด้วยเรื่องการทำข้อกฎหมาย ส่วนเรื่อง medical education นั้น
หม่อมเจ้าสกลวรรณเห็นว่าจะคิดหาคนเข้าทำงานแพทย์และสภา ควรมีความเห็นในการส่งนักเรียนแพทย์ไปศึกษาได้กี่
คน ด้านเสนาบดีกระทรวงธรรมการได้กราบบังคมทูลว่า เรื่องการตรวจโรงเรียนในทางสาธารณสุขนั้นไม่เป็นปัญหา แต่
สำหรับมหาวิทยาลัย พวกแพทย์มีความเห็นว่าสภาเป็น Executive มากไป แพทย์ศึกษาไม่ควรอยู่ในสภานั้น ควรเอาคำ
ว่าแพทย์ศึกษาออกจากคำว่าการบำบัดโรค ถ้าแก้ร่างให้สภาเป็นรูปของที่ปรึกษาได้แล้วก็จะติดความกังวลในข้อนี้
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวยังได้มีพระราชดำรัสตั้งข้อสังเกตต่อมาตรา 5 ที่ให้สภายังบังคับให้ทบวงการเสนอ
ความเห็นต่อสภา และจากมาตรา 2 ที่ว่าสภาเป็นนิติบุคคล คำว่านิติบุคคลหมายความว่าอะไร กรมถือเป็นนิติบุคคล
239 สจช. ม.7/1 (ม-ร.7ม/10) เรื่อง ตั้งสภาสาธารณสุข (2 เม.ย. พ.ศ. 2469 – 12 เม.ย. 2471), หน้า 95-97.
101