Page 38 - b29255_fulltext
P. 38

ในส่วนของเรื่องสั้นสะท้อนแนวคิดทางสังคมของสตรี จากเรื่อง “น้ าใจของนรา” ผลงานของนักเขียนคือ นายส่ง เท

               ภาสิต นักเรียนนอกจากประเทศอังกฤษ มีตัวละครสตรีในเรื่องนี้แสดงถึงประเด็นด้านสตรีนิยมผ่านตัวละครเอก
               ฝ่ายหญิงคือ นรา ได้อย่างน่าสนใจเพราะตัวละครสตรีดังกล่าวมีความเป็นตัวของตัวเอง กล้าตัดสินใจในการเลือก

               ก าหนดชีวิตของตนเอง ในขณะเดียวกันเรื่องสั้น เรื่อง “หม้อแกงบวน” ของหม่อมหลวงต้อย ชุมสาย ณ อยุธยา ใช้

               นามปากกาว่า “ขุนอารี” ได้เสนอแนวคิดที่ขัดแย้งกันโดยเฉพาะความขัดแย้งระหว่างผู้ชายกับผู้หญิงโดยผ่านบท
               สนทนาโต้แย้งของตัวละครสองตัว คือ เนียน หลานสาวกับขุนอารี ในประเด็นการศึกษาที่ผู้หญิงควรจะได้รับสิทธิ

               เท่าเทียมกับผู้ชาย แต่ขุนอารีมีค่านิยมแบบผู้ชายหัวเก่า ที่มีทัศนคติว่าผู้หญิงไม่จ าเป็นต้องร่ าเรียนสูงแต่ควรหันมา
               เป็นแม่ศรีเรือนจะดีกว่า


                       นอกจากนี้แล้ว ในสมัยรัชกาลที่ 7 ยังมีการออกวารสารเพื่อเป็นปากเสียงให้สตรี ได้แก่ สตรีไทย (พ.ศ

               2468) นารีเกษม (พ.ศ.2469) นารีนิเทศ (พ.ศ.2469) สยามยุพดี (พ.ศ.2471) หญิงสยาม (พ.ศ.2473) สุภาพนารี
               (พ.ศ. 2473) นารีนารถ (พ.ศ. 2473) เนตร์นารี (พ.ศ. 2475) และหญิงไทย (พ.ศ.2475)


                       วารสารสตรีดังกล่าวพยายามที่จะสร้างปรากฎการณ์รื้อโครงสร้างระบบปิตาธิปไตย และสร้างความเท่า
               เทียมกันระหว่างบุรุษและสตรี ดังตัวอย่างในช่วงปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พ.ศ. 2474

               กลุ่มนักเขียนสตรีได้ใช้พื้นที่ทางสื่อสิ่งพิมพ์ท้าทายอ านาจที่กดขี่พวกเธออยู่ทั้งด้านการเมืองสถานะทางเพศดัง
               ปรากฎหลักฐานในนิตยสารต่างๆ เช่น สุภาพนารี สุภาพสตรี หญิงสยาม และหญิงไทย ต่างเสนอบทความเรียกร้อง

               สิทธิครูผู้หญิงให้มีความเท่าเทียมกับครูผู้ชาย เพราะข้าราชการครูผู้หญิงไม่ได้รับบรรดาศักดิ์เหมือนครูผู้ชาย แม้ว่า

               จะประกอบอาชีพครูมาอย่างยาวนาน ไม่มีบทบาทหน้าที่เท่าครูผู้ชาย ครูผู้หญิงได้รับเงินเดือนเป็นค่าจ้างเท่านั้น ซึ่ง
               มีเงินเดือนต่ ากว่าครูผู้ชาย และไม่มีบ าเหน็จบ านาญให้ ข้าราชการครูผู้หญิงไม่มีสิทธิเท่าเทียมกับครูผู้ชาย


                       ในเวลาต่อมามีการรวมกลุ่มกันของกลุ่มสตรีหัวก้าวหน้าก่อตั้งสมาคมสตรีไทยแห่งประเทศไทยในพระบรม
               ราชินูปถัมภ์ ชื่อเดิม “สมาคมสตรีแห่งกรุงสยาม” ก่อตั้งเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2475 และในวันที่ 23
               ธันวาคม 2475 พ.ศ. สมาคมได้จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย จัดตั้งเพื่อส่งเสริมสนับสนุนนักเรียนที่เรียนดีแต่

               ขาดทุนทรัพย์ ให้มีความรู้ความสามารถเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีมีจริยธรรม และส่งเสริมสนับสนุนสตรีที่ด้อยโอกาสให้
               มีความรู้เฉพาะด้าน โดยเปิดอบรมวิชาชีพในชุมชน มีผู้ก่อตั้ง 2 ท่าน คือ แพทย์หญิงใหญ่ กุลดิลก และคุณหญิงแร่ม
                        40
               พรหโมบล  กรณีของคุณหญิงแร่มนั้น ท่านได้สมัครเข้าเรียนวิชากฎหมายรุ่นแรกนั้นมาจากแรงผลักดันของบิดา
               ท่านเอง เพราะพ่อของท่านต้องการให้บุตรสาวเป็นผู้ฉลาด หลังจากคุณหญิงแร่มได้รับอนุมัติให้เรียนกฎหมายใน

               เดือนมีนาคม พ.ศ. 2471 ก็มีผู้หญิงอีกหลายคนไปสมัครเรียนเนติบัณฑิตสตรีประมาณ 10 คน ซึ่งนับว่าเป็นจ านวน
               มากทีเดียวส าหรับการเรียนกฎหมายครั้งแรกของผู้หญิงที่จบการศึกษาในปีพ.ศ. 2473 อย่างไรก็ดี ขณะนั้น
               กฎหมายยังไม่อนุญาตให้สตรีเป็นตุลาการและอัยการ ผู้หญิงที่จบกฎหมายจึงหันมาประกอบอาชีพทนายความ




                         คุณหญิงแร่ม พรหโมบล เนติบัณฑิตคนแรกได้สมัครเข้าเรียนวิชากฎหมายนั้นมาจากแรงผลักดันของบิดาท่านเอง เพราะพ่อของ
                       40
               ท่านต้องการให้บุตรสาวเป็นผู้ฉลาด คุณหญิงแร่มได้รับให้เรียนกฎหมายในปีพ.ศ. 2471 (สมัยรัชกาลที่ 7)


                                                             37
   33   34   35   36   37   38   39   40   41   42   43