Page 94 - 22385_Fulltext
P. 94
การศึกษาการบังคับใช้ การศึกษาการบังคับใช้
พระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. 2558 เพื่อประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. 2558 เพื่อประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างกรมกิจการสตรีฯ ย่อมไม่มีอำนาจบังคับหรือ แนวบรรทัดฐานให้ชัดเจนขึ้นในสังคมด้วยว่า ถ้าผู้ที่ถูกคณะกรรมการ
ลงโทษบุคคลใดได้เอง จำเป็นต้องแจ้งความดำเนินคดี หรือใช้สิทธิทางศาล วลพ. ชี้ไว้แล้วว่าเลือกปฏิบัติ ไม่นำพาต่อการระงับการเลือกปฏิบัติของตน
เพื่อบังคับการให้เป็นไปตามกฎหมายต่อไป ซึ่งในที่นี้หมายรวมถึงอำนาจ ก็ควรต้องได้รับโทษจริง ๆ ทั้งภาคประชาสังคมยังสามารถนำไปใช้อ้างอิง
ในการ “เปรียบเทียบปรับ” (มาตรา 36) ด้วย ประกอบกับนโยบาย เพื่อช่วยยุติการเลือกปฏิบัติที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้อีกด้วย จากการ
การทำงานของคณะกรรมการ วลพ. เอง ที่พยายามหลีกเลี่ยงการใช้ สัมภาษณ์ความเห็นของฝั่งผู้เสียหายที่ยื่นคำร้อง ก็ค่อนข้างเห็นพ้องไปใน
อำนาจเชิงบังคับ แต่ต้องการใช้แนวทางการสร้างความเข้าใจ และ แนวทางเดียวกันกับฝ่ายหลังนี้ ทั้งเห็นด้วยว่าหากในที่สุดแล้วคำวินิจฉัย
อาศัยความร่วมมือจากหน่วยงานผู้ถูกร้อง จึงส่งผลให้ จนถึงปัจจุบัน ของคณะกรรมการ วลพ. มิได้ก่อให้เกิดผลใด ๆ อย่างเป็นรูปธรรม หรือ
ที่แม้กฎหมายจะบังคับใช้มากว่า 5 ปี แล้วพนักงานเจ้าหน้าที่หรือฝ่าย ไม่ได้ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงใด ๆ ต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่าง
ผู้รับผิดชอบก็ยังไม่มีแนวทางปฏิบัติหรือคู่มือใด ๆ เกี่ยวกับการบังคับใช้ ชัดเจน ก็อาจรู้สึกว่าป่วยการที่จะมายื่นคำร้องในกลไกนี้ ซึ่งผู้มายื่นคำร้อง
ขั้นตอน หรือกระบวนการแจ้งความดำเนินคดีกรณีที่เกิดการฝ่าฝืนคำสั่ง ต่างมีต้นทุนที่ต้องแบกรับ หรือหากสุดท้ายแล้วจำเป็นต้องไปฟ้องร้องต่อ
ของคณะกรรมการ วลพ. เลย ในขณะที่พนักงานเจ้าหน้าที่ โดยเฉพาะ ศาลเอง พวกเขาก็คงไม่เลือกที่จะมาใช้กลไกนี้ตั้งแต่แรก
อย่างยิ่งที่ไม่ใช่นักกฎหมายยังขาดความรู้ความเข้าใจว่าต้องดำเนินการ ต่อประเด็นปัญหาเรื่องอำนาจในเชิงบังคับของคณะกรรมการ
อย่างไรต่อไปบ้างเมื่อเกิดเหตุดังกล่าวขึ้น ดังนั้น ในทางรูปแบบและ วลพ. นี้ กลุ่มผู้ให้สัมภาษณ์ซึ่งเป็นคณะกรรมการ วลพ. และอดีต
หลักการแห่งกฎหมายแล้ว ผู้ให้สัมภาษณ์บางคนจึงมองว่า ปัญหานี้ย่อม คณะกรรมการสะท้อนเพิ่มเติมว่า มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับศักดิ์หรือ
ทำให้คำวินิจฉัยของคณะกรรมการ วลพ. ขาดสภาพบังคับไปโดยปริยาย
ลำดับชั้นของกฎหมายด้วย เนื่องจาก พ.ร.บ.ความเท่าเทียมฯ เป็น
อย่างไรก็ตาม ผู้ให้สัมภาษณ์ซึ่งเป็นคณะกรรมการ วลพ. ยังมี กฎหมายระดับพระราชบัญญัติที่อาจมีลำดับชั้นเท่ากับกฎหมายฉบับอื่น ๆ
ความเห็นที่แตกต่างกันอยู่ในประเด็นนี้ โดยฝ่ายหนึ่งซึ่งทำงานด้านสิทธิ ที่หน่วยงานรัฐผู้ถูกร้องบังคับการหรือปฏิบัติตามอยู่ เช่นนี้ คำวินิจฉัยและ
และไม่ใช่นักกฎหมายเห็นว่า ควรใช้วิธีการทำงานแบบการสร้างความเข้าใจ คำสั่งของคณะกรรมการ วลพ. ซึ่งใช้อำนาจตาม พ.ร.บ.ความเท่าเทียมฯ
กับหน่วยงานหรือองค์กรผู้ถูกร้องมากกว่าการออกคำสั่งบังคับ โดยมองว่า จึงไม่มีผลเป็นการลบล้างหรือเปลี่ยนแปลงกฎหมายอีกฉบับซึ่งอยู่ในลำดับ
พ.ร.บ.ความเท่าเทียมฯ เป็นกฎหมายทางเลือก มีเป้าหมายในการส่งเสริม ชั้นเดียวกันได้ ที่ผ่านมา แม้กรณีส่วนใหญ่จะไม่ค่อยเกิดปัญหาใด ๆ
ความเสมอภาค ไม่ใช่การปราบปราม ในขณะที่ฝ่ายนักกฎหมายเห็นว่า ในการทำตามคำสั่ง เพราะหน่วยราชการมักให้ความร่วมมือดีหรือ
ควรมีมาตรการบังคับที่ชัดเจน และอาจต้องใช้อำนาจนี้บ้างในบางกรณี พร้อมแก้ไขปรับเปลี่ยน ในขณะที่หน่วยงานเอกชนไม่อยากมีปัญหา
เมื่อจำเป็น เพื่อทำให้คำสั่งของคณะกรรมการ วลพ. มีสภาพบังคับ อีกทั้ง ทั้งกลัวชื่อเสียงถูกกระทบ แต่ก็เกิดกรณีที่ผู้ถูกร้องไม่ทำตามคำสั่งมาแล้ว
หากมีคำพิพากษาลงโทษโดยศาล ก็อาจให้ผลเป็นการช่วยสร้าง เช่นกัน ด้วยเหตุผลนี้ จึงย่อมสะท้อนให้เห็นว่าในความเป็นจริงแล้ว
78 สถาบันพระปกเกล้า สถาบันพระปกเกล้า