Page 92 - 22385_Fulltext
P. 92
การศึกษาการบังคับใช้ การศึกษาการบังคับใช้
พระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. 2558 เพื่อประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. 2558 เพื่อประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย
โดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ พ.ศ. 2559 กำหนดกรอบระยะเวลา เขียนคำวินิจฉัยซึ่งควรต้องเป็นนักกฎหมายและมีความรู้ความเข้าใจ
ในการพิจารณาและทำคำวินิจฉัยให้แล้วเสร็จไว้ค่อนข้างกว้าง กล่าวคือ ในประเด็นทางเพศ อย่างไรก็ตาม ระเบียบข้อ 38 ดังกล่าว ถูกแก้ไขแล้ว
โดยหลักควรต้องแล้วเสร็จภายใน 90 วัน แต่หากไม่เสร็จสามารถ และเตรียมประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษา (วันที่ผู้ศึกษาได้รับข้อมูลนี้คือ
ขยายเวลาได้ 2 ครั้ง ครั้งละ 30 วัน ดังนั้นรวมแล้วจึงมีเวลาทั้งสิ้นราว วันที่ 10 มิถุนายน 2564) โดยกำหนดกรอบระยะเวลาการพิจารณาและ
150 วัน อย่างไรก็ตาม หากในที่สุดแล้วคณะกรรมการ วลพ. ก็ยังไม่อาจ ทำคำวินิจฉัยของคณะกรรมการ วลพ. ไว้ไม่ให้เกิน 96 วันนับจากวันที่
พิจารณาและทำคำวินิจฉัยได้ ก็สามารถขยายเวลาออกไปได้อีกโดยไม่มี รับคำร้องไว้พิจารณา และนอกจากนั้นกรมกิจการสตรีฯ โดยกองส่งเสริม
กรอบเวลา อนุบัญญัติข้อนี้ระบุไว้แต่เพียงกว้าง ๆ ว่าให้ประธานกรรมการ วลพ. ความเสมอภาคเท่าเทียมฯ กำลังพิจารณาจัดเตรียม และนำระบบ
กำหนดมาตรการเร่งรัดให้การพิจารณาเสร็จโดยเร็วเท่านั้น การประชุมออนไลน์เข้ามาใช้เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาความล่าช้านี้ด้วย
อนึ่ง จากการสัมภาษณ์กลุ่มผู้เสียหายที่เคยยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการ
ต่อประเด็นเรื่องความล่าช้านี้ ผู้ให้สัมภาษณ์หลายคนเห็น
ปัญหาร่วมกันว่าอาจแก้ไขค่อนข้างยาก เนื่องจากการทำคำวินิจฉัยนั้น วลพ. มีการสะท้อนในประเด็นนี้เพิ่มเติมด้วยว่า แม้ตนจะพอ
ต้องใช้ความรอบคอบ ประกอบกับความจำเป็นในการต้องเปิดโอกาสให้ ทำความเข้าใจกับสภาพปัญหาต่าง ๆ ที่ทำให้การพิจารณาคำร้องล่าช้าได้
ทั้งสองฝ่ายได้ชี้แจงหรือแสดงพยานหลักฐานอย่างเท่าเทียม จึงไม่เอื้อ แต่คณะกรรมการ วลพ. เอง โดยฝ่ายเลขานุการหรือผู้ประสานงานก็ตาม
ให้เกิดการดำเนินการอย่างรวบรัดหรือรวดเร็วตามที่ผู้ร้องต้องการได้ ควรมีมาตรการแจ้งให้ผู้ร้องได้รับรู้ รับทราบเป็นระยะ ๆ ถึงกระบวนการ
นอกจากจากนี้ ด้วยเหตุที่การพิจารณาวินิจฉัยนี้ใช้กลไกการทำงาน พิจารณา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีที่คณะกรรมการ วลพ. ขยายเวลา
แบบเรียกประชุมคณะกรรมการซึ่งไม่ได้ทำงานในตำแหน่งประจำ (อย่าง การทำงานออกไป ซึ่งที่ผ่านมาไม่มีการดำเนินการดังกล่าว จนทำให้
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน) ในขณะที่คณะกรรมการ วลพ. ล้วนเป็น ผู้เสียหายรู้สึกว่าคำร้องของตนถูกทอดทิ้ง และไม่ทราบชะตากรรมว่า
ผู้ทรงคุณวุฒิที่มีภาระหน้าที่ประจำของตนเองอยู่แล้ว การพิจารณาคำร้อง จะเกิดอะไรขึ้นกับตนต่อไป ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อทั้งสภาพจิตใจและชีวิต
โดยต่อเนื่องเพื่อให้แล้วเสร็จโดยรวดเร็วจึงเกิดขึ้นยาก อนึ่ง องค์ประกอบ การทำงาน
ของคณะกรรมการ วลพ. เองที่มีที่มาจากหลากหลายภาคส่วน และ 8.2.4 คณะกรรมการ วลพ. ไม่มีอำนาจบังคับตามคำวินิจฉัย
มีความรู้ความเข้าใจแตกต่างกันในหลากหลายสาขาก็ส่งผลต่อจำนวน ด้วยตนเอง กล่าวคือ แม้คณะกรรมการ วลพ. จะมีอำนาจตามกฎหมาย
ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยตีความ และระยะเวลาที่ใช้เพื่อการถกเถียง ฉบับนี้ สั่งการให้หน่วยงานรัฐ เอกชน หรือบุคคลที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการ
แลกเปลี่ยนหามติหรือข้อสรุปร่วมกันด้วย เหล่านี้ยังมิได้กล่าวถึงปัญหา ตามอำนาจด้วยวิธีการที่เหมาะสมเพื่อระงับและป้องกันการเลือกปฏิบัติได้
การขาดแคลนพนักงานเจ้าหน้าที่ฝ่ายสนับสนุน ที่สามารถช่วยเหลือ (มาตรา 20 (1)) โดยกฎหมายกำหนดโทษอาญาไว้สำหรับบุคคลที่ฝ่าฝืน
คณะกรรมการ วลพ. ในการแสวงหาข้อเท็จจริง การสรุปคำพยาน รวมทั้ง คำสั่งด้วยก็ตาม (มาตรา 34 และ 35) แต่ลำพังคณะกรรมการ วลพ. หรือ
สถาบันพระปกเกล้า สถาบันพระปกเกล้า