Page 200 - 22385_Fulltext
P. 200
การศึกษาการบังคับใช้ การศึกษาการบังคับใช้
พระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. 2558 เพื่อประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. 2558 เพื่อประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย
ตั้งข้อสังเกตว่าภายหลังกฎหมายใช้บังคับการกระทำที่มีลักษณะเลือกปฏิบัติ ส่วนใหญ่เป็นข้อพิพาทระหว่างรัฐกับประชาชน และในประเด็นคล้าย ๆ กัน
อย่างชัดเจนโจ่งแจ้งอาจลดลง เช่น ก่อนปี พ.ศ. 2558 สามารถพบเห็น อย่างหน่วยงานรัฐมีกฎหรือระเบียบห้ามครู อาจารย์ หรือนักศึกษาผู้มี
ประกาศรับสมัครงานของหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนที่สื่ออย่างชัดเจนว่า ความหลากหลายทางเพศแต่งกายตามเพศสภาพ สภากาชาดไทยไม่ให้กลุ่ม
ไม่รับเกย์ กระเทย หรือทอมเข้าทำงาน แต่เมื่อมีกฎหมายฉบับนี้ การกระทำ LGBTQ บริจาคเลือด หรือหน่วยงานภาครัฐไม่รับ LGBTQ เข้าทำงานในบาง
ในลักษณะดังกล่าวลดลงหรือพบเห็นได้ยากขึ้น อย่างไรก็ดี เหล่านี้มิใช่ตัวชี้วัด ตำแหน่ง เป็นต้น
หรือสะท้อนได้ว่าสถานการณ์การเลือกปฏิบัติในประเทศไทยลดลงแล้ว นอกจากนี้ ผู้ให้สัมภาษณ์ส่วนหนึ่งเห็นว่า แม้ดูเหมือนว่าในช่วง
ตรงกันข้าม มันยังคงดำรงอยู่แต่ถูกปรับเปลี่ยนแปรรูปไปเท่านั้น เช่น ไม่แสดง หลายปีที่ผ่านมาภาพพจน์ของประเทศไทยในประเด็นเรื่องความเสมอภาค
ข้อความอย่างชัดเจนในประกาศรับสมัครงาน แต่ผู้สมัครที่เป็นผู้หญิงก็ดี เท่าเทียมระหว่างเพศ หรือการยอมรับสิทธิเสรีภาพของบุคคลผู้มีความ
เป็นผู้มีความหลากหลายทางเพศก็ดี ยังคงถูกเลือกปฏิบัติในขั้นตอนการยื่น หลากหลายทางเพศจะดีกว่าประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคเดียวกัน
ใบสมัคร ขั้นตอนของการสัมภาษณ์ หรือขั้นตอนของการทำสัญญาจ้าง แต่ในความจริงอาจไม่ได้เป็นเช่นนั้น แน่นอนว่าความรุนแรงทางกายภาพ
ตัวอย่างที่เป็นรูปธรรม อาทิ มีการตั้งเงื่อนไขเรื่องการสมรสหรือการตั้งครรภ์ อย่างการทำร้ายร่างกาย หรือฆ่ากันเพราะเหตุแห่งเพศอาจไม่ค่อยพบเห็น
กับผู้สมัครที่เป็นผู้หญิง หรือมีการใส่ข้อสังเกตเกี่ยวกับเพศสภาพของผู้สมัคร ในประเทศไทยเหมือนกับในประเทศอื่น ๆ แต่ก็ไม่ใช่เครื่องสะท้อนว่า
ที่เป็น LGBTQ ไว้ที่หัวใบสมัครก่อนเข้ารับการสัมภาษณ์จากกรรมการ การเลือกปฏิบัติด้วยวิธีการอื่น ๆ ในเมืองไทยเกิดขึ้นน้อยกว่าประเทศอื่น
เป็นต้น ซึ่งสถานการณ์เช่นนี้ย่อมไม่เป็นผลดีต่อการแก้ไขปัญหา เนื่องจาก จะด้วยเหตุผลในแง่ของสังคมที่ยังมีความเป็นอำนาจนิยมสูง ระบบชนชั้นที่
ที่ผ่านมาการพิสูจน์ถึงการเลือกปฏิบัติทำได้ยากลำบากอยู่แล้ว แต่เมื่อ แข็งแกร่ง วัฒนธรรมชายเป็นใหญ่ หรือมายาคติเรื่องไม่อยากเป็นคดีความ
การเลือกปฏิบัติไม่ได้เกิดขึ้นอย่างชัดเจนเช่นแต่ก่อนและถูกซ่อนเร้นไว้ ก็ตาม ส่งผลให้ปัญหาการถูกเลือกปฏิบัติยังคงถูกกดทับไว้ ไม่ถูกตีแผ่ออกมา
ในกระบวนการอื่นก็ยิ่งทำให้ทั้งการหาพยานหลักฐาน และการพิสูจน์ทราบถึง เหมือนดังเช่นประเทศอื่น และต่อให้มี พ.ร.บ.ความเท่าเทียมฯ แล้วก็ยังไม่ได้
การมีอยู่ของการเลือกปฏิบัติทำได้ยากลำบากขึ้นไปอีก อนึ่ง แม้จนถึงปัจจุบัน ทำให้สถานการณ์ในเรื่องนี้ดีขึ้น นอกจากนี้ผู้ให้สัมภาษณ์ที่เป็นนักวิชาการ
จำนวนคำร้องที่มีมายังคณะกรรมการ วลพ. จะมีเพียง 60 เรื่องเท่านั้น ยังตั้งข้อสังเกตว่าแม้พื้นที่สำหรับสิทธิของผู้มีความหลากลายทางเพศ
แต่จำนวนเรื่องร้องเรียนดังกล่าวไม่ใช่ตัวชี้วัดเช่นกันว่าประเทศไทยมีการเลือก ในประเทศไทยดีขึ้นกว่าอดีตจริง หากแต่น่าจะเป็นผลพวงมาจากกระแส
ปฏิบัติเพียงเล็กน้อย ในความเป็นจริงการเลือกปฏิบัติในประเทศไทยยังคงมี สิทธิมนุษยชนโลก สื่อโซเชียล (Social Media) มุมมองและแนวคิดของ
เป็นจำนวนมาก แต่ติดด้วยอุปสรรคและปัญหาหลายประการ (ซึ่งจะได้ คนรุ่นใหม่ รวมทั้งการรณรงค์ของภาคประชาสังคมที่มีมากขึ้นมากกว่า
กล่าวถึงต่อไปข้างหน้า) ทำให้จำนวนการร้องเรียนยังมีไม่มาก การเลือกปฏิบัติ พ.ร.บ. ความเท่าเทียมฯ ยังไม่ใช่ตัวแปรสำคัญในการสร้างความเปลี่ยนแปลง
ระหว่างเอกชนกับเอกชนด้วยกันจำนวนไม่น้อยจบลงด้วยการตกลง ในประเด็นนี้
ประนีประนอมกัน กรณีที่มีการร้องเรียนมาตามกลไกของกฎหมายฉบับนี้
184 สถาบันพระปกเกล้า สถาบันพระปกเกล้า 185