Page 198 - 22385_Fulltext
P. 198

การศึกษาการบังคับใช้                     การศึกษาการบังคับใช้
 พระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. 2558 เพื่อประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย   พระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. 2558 เพื่อประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย



   นอกจากนี้ การที่กฎหมายนี้สร้างกลไกเฉพาะ (ในที่นี้คือ    การปรับปรุงแก้ไขให้ชัดเจนและสอดคล้องกับหลักสากลมากขึ้น (จะได้กล่าว
 คณะกรรมการ วลพ.) ในการรับเรื่องร้องเรียนกรณีที่อาจมีการเลือกปฏิบัติ  ถึงต่อไปโดยละเอียดข้างหน้า) และลำพังกฎหมายฉบับนี้เพียงฉบับเดียว
 ย่อมทำให้ประชาชนที่ถูกเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งเพศมีช่องทางร้องขอ    ยังไม่สามารถทำให้เจตนารมณ์ดังกล่าวบรรลุได้ในสังคมไทย หากแต่รัฐ
 ความเป็นธรรมเพิ่มขึ้น ซึ่งเข้าถึงง่ายกว่า และมีกระบวนการยุ่งยากซับซ้อน  ต้องเห็นและให้ความสำคัญต่อประเด็นนี้มากกว่าที่เป็นอยู่ ทั้งควรต้อง

 น้อยกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับการฟ้องคดีต่อศาล ทั้งคณะกรรมการผู้ทำการ  พิจารณาเพื่อดำเนินการหรือผลักดันกฎหมายฉบับอื่น ๆ ให้ครอบคลุมปัญหา
 วินิจฉัยก็มีความรู้ความเชี่ยวชาญที่เฉพาะเจาะจงกว่าการร้องเรียนไปยัง    มากขึ้นด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกฎหมายที่เกี่ยวกับปัญหาของกลุ่มผู้มี

 หน่วยงานหรือองค์กรอื่นที่แม้จะดูแลเรื่องสิทธิเสรีภาพของประชาชนเช่นกัน   ความหลากหลายทางเพศ ที่มักมีมิติที่ซับซ้อนของการเลือกปฏิบัติมากกว่า
 แต่ก็มักมีอำนาจหน้าที่และภารกิจที่ต้องรับผิดชอบในขอบเขตที่กว้างขวาง  กรณีความไม่เท่าเทียมระหว่างเพศชายกับเพศหญิง และโดยเจตนารมณ์
 และไม่เฉพาะเจาะจงในเรื่องนี้เท่านั้น อาทิ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน    จริง ๆ แล้ว พ.ร.บ.ความเท่าเทียมฯ ก็ไม่ได้ตอบโจทย์ หรือแก้ปัญหาให้
 แห่งชาติ หรือกรรมาธิการกิจการสตรีเด็กและเยาวชน บุคคลที่มีความแตกต่าง   LGBTQ ได้ทั้งระบบ จำเป็นต้องแก้ไขทบทวนกฎหมายอื่น ๆ อีกมาก ทั้งอาจ

 ทางเพศของวุฒิสภา เป็นต้น ในขณะที่ภาคประชาสังคมเองก็สามารถให้    ต้องมีกฎหมายรับรองสิทธิให้เขาเป็นการเฉพาะด้วย เช่น กฎหมายรับรอง
 ความช่วยเหลือ ให้คำแนะนำ และช่วยปกป้องสิทธิของผู้เสียหายได้มากขึ้น   สถานะทางเพศ ซึ่งจะแก้ปัญหาอื่น ๆ ที่เกี่ยวพันกับสิทธิของพวกเขาได้
 การเกิดขึ้นและการมีอยู่ของกฎหมายฉบับนี้ยังก่อให้เกิดโครงการหลายอย่าง  ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง คำนำหน้า คู่ชีวิต ฯลฯ และในอนาคตประเทศไทย

 ที่ช่วยส่งเสริมความเข้าใจในเรื่องความเสมอภาคทางเพศต่อหน่วยงานภาครัฐ  อาจต้องพิจารณาให้ไปไกลกว่านี้อย่างการบัญญัติกฎหมายว่าด้วยการขจัด
 หลายแห่ง มีการสร้างหลักสูตรนำร่องในการอบรมเรื่องความเสมอภาค    การเลือกปฏิบัติต่อบุคคลที่ไม่จำเพาะเจาะจงแต่การเลือกปฏิบัติที่เกิดจากเหตุ
 ทางเพศให้กับเจ้าหน้าที่รัฐ 4 ภาค ซึ่งได้ผลค่อนข้างดี ทั้งยังอาจกล่าวได้ว่า   แห่งเพศเท่านั้น แต่ครอบคลุมการเลือกปฏิบัติทุกเหตุทั้งเพศ เชื้อชาติ ศาสนา

 พ.ร.บ.ความเท่าเทียมฯ นับเป็นจุดเริ่มต้นของการที่สังคมลุกขึ้นมาเรียกร้อง  การศึกษา อาชีพ ฯลฯ
 ความเสมอภาคทางเพศ หรือเรียกร้องการห้ามเลือกปฏิบัติในมิติอื่น ๆ ต่อไป
 อีกด้วย เช่น กฎหมายเกี่ยวกับเพศ กฎหมายสมรสเท่าเทียม ฯลฯ          2.2  สถานการณ์การเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งเพศ
                   ภายหลังบังคับใช้กฎหมายมา 5 ปี

   อย่างไรก็ตาม มีข้อสังเกตจากทั้งนักวิชาการและภาคประชาสังคมว่า     ผู้ให้สัมภาษณ์ส่วนใหญ่เห็นว่า สถานการณ์การเลือกปฏิบัติ
 แม้กฎหมายฉบับนี้จะยังเป็นสิ่งจำเป็น ถือเป็นกฎหมายที่มีเจตนารมณ์ที่ดี    ด้วยเหตุแห่งเพศไม่ได้ดีขึ้นในระดับที่ควรจะเป็น หรือตามความคาดหวังของ
 ในการสร้างความเสมอภาคระหว่างเพศและลดการเลือกปฏิบัติด้วยเหตุ    คนที่ติดตามและทำงานด้านนี้ กล่าวคือ ยังคงมีการเลือกปฏิบัติเกิดขึ้น

 แห่งเพศ ทั้งปัจจุบันยังเป็นกฎหมายเพียงฉบับเดียวในระดับพระราชบัญญัติ    ในทุกภาคส่วน และจำนวนไม่น้อยเป็นการเลือกปฏิบัติในเชิงระบบโดย
 ที่กล่าวถึงความเท่าเทียมทางเพศและรับรองสิทธิในการแสดงออกของบุคคล  กฎหรือระเบียบของหน่วยงานภาครัฐเอง ผู้ทำงานภาคประชาสังคมหลายราย
 ซึ่งอาจแตกต่างจากเพศกำเนิด แต่ยังมีบทบัญญัติหลายส่วนที่ควรได้รับ



 182  สถาบันพระปกเกล้า                                            สถาบันพระปกเกล้า   183
   193   194   195   196   197   198   199   200   201   202   203