Page 107 - 22385_Fulltext
P. 107
การศึกษาการบังคับใช้ การศึกษาการบังคับใช้
พระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. 2558 เพื่อประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. 2558 เพื่อประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย
3.1 ระบบคณะกรรมการ ที่เกี่ยวข้องดังกล่าว ส่งผลทำให้ระบบคณะกรรมการตามกฎหมายในประเด็นนี้
เป็นไปตามหลักเกณฑ์ในข้อ 2 (2) เช่นกัน และผู้ศึกษาเห็นว่าปัญหาของ
พ.ร.บ.ความเท่าเทียมฯ กำหนดให้มีคณะกรรมการทั้งหมด 3 ชุด
ได้แก่ คณะกรรมการส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ (สทพ.) ซึ่งเป็น คณะกรรมการ สทพ. หาได้อยู่ที่จำนวนหน่วยงานที่เข้าร่วมเป็นกรรมการไม่
คณะกรรมการระดับชาติ ตามที่กำหนดไว้ในหมวด 1 มาตรา 5 ถึง มาตรา 12 หากแต่อยู่ที่หน่วยงานควรพิจารณาส่งผู้แทนที่มีความรู้ความเข้าใจในประเด็น
คณะกรรมการวินิจฉัยการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ (วลพ.) บทบาทความสัมพันธ์หญิงชาย (Gender) และความหลากหลายทางเพศ
ตามที่กำหนดไว้ในหมวด 2 ตั้งแต่มาตรา 13 ถึงมาตรา 16 และคณะกรรมการ อย่างเพียงพอ หรือไม่เช่นนั้นก็ควรมีแนวคิดที่พร้อมเปิดกว้างสำหรับ
บริหารกองทุนฯ ตามมาตรา 31 ถึงมาตรา 33 การทำความเข้าใจในประเด็นดังกล่าวมาร่วมเป็นคณะกรรมการชุดนี้มากกว่า
สำหรับจำนวนและความเชี่ยวชาญของผู้ทรงคุณวุฒิที่กำหนดไว้ตามกฎหมาย
เมื่อพิจารณาตรวจสอบระบบคณะกรรมการทั้งสามชุดดังกล่าวกับ ฉบับนี้ ไม่ว่าจะในองค์ประกอบของคณะกรรมการ สทพ. ก็ดี คณะกรรมการ
“คำแนะนำของคณะกรรมการพัฒนากฎหมายเรื่อง การใช้ระบบ วลพ. ก็ดี รวมทั้งคณะกรรมการบริหารกองทุนฯ ล้วนเป็นด้านที่จำเป็นต่อ
คณะกรรมการในกฎหมาย” (ต่อไปจะเรียกว่า คำแนะนำระบบคณะกรรมการฯ) ภารกิจและเพื่อการบังคับใช้ พ.ร.บ. ความเท่าเทียมฯ ให้บรรลุเจตนารมณ์
พบว่าการใช้ระบบคณะกรรมการของ พ.ร.บ.ความเท่าเทียมฯ ทุกชุด ทั้งสิ้น ทั้งนี้ตามข้อ 2 (3) คำแนะนำระบบคณะกรรมการฯ
ไม่เข้าข่ายเป็นการใช้ระบบคณะกรรมการโดยไม่จำเป็นตามที่บัญญัติไว้ใน
ข้อ 1 คำแนะนำระบบคณะกรรมการฯ ในขณะที่องค์ประกอบของ 3.2 บทบัญญัติที่ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐมีดุลพินิจ
คณะกรรมการทั้งสามชุดล้วนมีความสอดคล้องกับหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ใน พ.ร.บ.ความเท่าเทียมฯ มีบทบัญญัติที่กำหนดให้เจ้าหน้าที่ของรัฐ
ข้อ 2 คำแนะนำระบบคณะกรรมการฯ กล่าวคือ แม้คณะกรรมการ สทพ. มีดุลพินิจไว้หลายกรณี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ดุลพินิจโดยคณะกรรมการ
จะกำหนดให้นายกรัฐมนตรีเป็นประธานกรรมการก็ตาม แต่เนื่องจาก กรรมการ อนุกรรมการ วลพ. รวมทั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ที่คณะกรรมการ
คณะกรรมการชุดนี้เป็นคณะกรรมการระดับชาติที่มีอำนาจในการกำหนด วลพ. มอบหมาย ในการวินิจฉัยหรือตัดสินใจสั่งการเพื่อให้บุคคลดำเนินการ
นโยบายสำคัญเกี่ยวกับความเสมอภาคเท่าเทียมระหว่างเพศจึงไม่ขัดกับ ต่าง ๆ ในกระบวนพิจารณาและวินิจฉัยคำร้องว่าด้วยการเลือกปฏิบัติด้วยเหตุ
ข้อ 2 (1) และแม้กรรมการโดยตำแหน่งในคณะกรรมการชุดนี้จะมีจำนวน แห่งเพศ โดยตามมาตรา 18 วรรคสอง มีลักษณะเป็นการบัญญัติให้
ค่อนข้างมาก หรือมีผู้แทนจากเกือบทุกกระทรวง แต่เนื่องจากประเด็นและ คณะกรรมการ วลพ. ใช้ “ดุลพินิจวินิจฉัย” ว่าคำร้องที่มีผู้ร้องยื่นเข้ามานั้น
ปัญหาความเสมอภาคเท่าเทียมระหว่างเพศมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับ มีข้อเท็จจริงต่าง ๆ เข้าข่ายเป็นการเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งเพศตามนิยาม
กฎหมาย กฎ ระเบียบ ภารกิจ และนโยบายของทุกกระทรวงจึงถือเป็น ในมาตรา 3 ซึ่งเป็นเรื่องต้องห้ามตามมาตรา 17 วรรคหนึ่งหรือไม่ อย่างไร
เรื่องจำเป็นแล้วที่ต้องมีผู้แทนจากกระทรวงเหล่านั้นมาร่วมกันพิจารณาวาระ โดยคำวินิจฉัยของคณะกรรมการ วลพ. ให้ถือเป็นที่สุด อำนาจตามที่กำหนด
ต่าง ๆ ในคณะกรรมการ สทพ. ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความผูกพันกับทุกหน่วยงาน ไว้ในมาตรา 19 การวินิจฉัยว่าควรกำหนดมาตรการชั่วคราวเพื่อคุ้มครองหรือ
92 สถาบันพระปกเกล้า สถาบันพระปกเกล้า