Page 17 - kpi22350
P. 17
นั่นคือ การแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกที่ 3 ได้กระจายออกไปทั่วประเทศอย่างหนักหน่วงกว่าที่เคย
เจอมา อีกทั้งยังเป็นเชื้อไวรัสกลายพันธุ์ที่สามารถแพร่กระจายได้เร็วและรุนแรงกว่าเดิม สมมติฐาน
รายงานสถานการณ์ การระบาดในครั้งนี้น่าจะมีจุดเริ่มต้นมาจากย่านสถานบันเทิงย่านทองหล่อ กรุงเทพฯ จนแพร่กระจาย
ไปในวงกว้าง ทำให้มีจำนวนผู้ติดเชื้อถึงหลักพันคนต่อวันและมีจำนวนผู้เสียชีวิตเป็นเลขหลักสิบอย่าง
ต่อเนื่อง กล่าวได้ว่า การระบาดระลอกที่ 3 ไม่เพียงแต่สร้างความโกลาหลให้กับระบบสาธารณสุขไทยเท่านั้น
แต่ยังเผยให้เห็นความโกลาหลของการบริหารจัดการภาครัฐไทยทั้งระบบได้อย่างชัดเจน จนหลายภาคส่วน
ในสังคมได้แต่ภาวนาเพื่อให้ประเทศไทยของเราสามารถผ่านพ้นวิกฤติครั้งนี้ไปได้
1.1 ผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19
ส่วนที่ 1 บทสำรวจว่าด้วยบทบาทขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกับการจัดการวิกฤติท่ามกลางการแพร่ระบาดของโควิด-19
เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าการออกมาตรการต่างๆ เพื่อรับมือกับการระบาดของโควิด-19
ในหลายระลอกนี้ ย่อมแลกมาด้วยผลกระทบและความสูญเสียอย่างมหาศาล เพราะการป้องกันยับยั้ง
การแพร่กระจายของเชื้อไวรัสด้วยการปิดประเทศ ปิดเมือง ปิดบ้าน รวมถึงมาตรการทางสาธารณสุขต่างๆ
ที่ออกมานั้น ส่งผลกระทบต่อรูปแบบการดำเนินชีวิตของประชาชนอย่างมาก และสร้างความท้าทาย
ต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจสังคมของประเทศอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน การแพร่ระบาดของไวรัสในครั้งนี้
ยังไม่มีใครสามารถคาดการณ์ได้ว่า เราจะอยู่กับมันไปอีกนานแค่ไหน จะอยู่ถึงเมื่อไหร่ และจะจบลงอย่างไร
แต่แน่นอนที่สุดว่าการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสในครั้งนี้ได้สร้างร่องรอยบาดแผลให้กับประเทศของเราอย่าง
แน่นอน
¸ ผลกระทบด้านการบริหารจัดการภาครัฐ : การแพร่ระบาดของโควิด-19 เผยให้เห็น
ความโกลาหลของการบริหารจัดการภาครัฐอย่างมาก ทั้งในเรื่องของการสื่อสาร การสั่งการ และการออก
มาตรการที่จะบังคับใช้ต่างๆ จนประชาชนเริ่มตั้งคำถามถึงการทำงานของภาครัฐที่ดูเหมือนว่า
ในทุกกระบวนการจะมีปัญหาและติดขัดไปเสียหมด รวมถึงวิธีการสื่อสารของภาครัฐที่ไม่ได้สร้างความเชื่อมั่น
ให้กับประชาชนแต่อย่างใด ซึ่งที่ผ่านมานั้นรัฐบาลใช้แนวทางการแก้ปัญหาในรูปแบบรัฐรวมศูนย์ โดยสั่งการ
จากส่วนกลางไปสู่ภูมิภาค มุ่งเน้นมาตรการควบคุมอย่างเข้มงวด จนกระทั่งเกิดการแพร่ระบาดอีกหลาย
ระลอกและรุนแรงมากขึ้น แต่กลับเป็นที่น่าแปลกใจของหลายฝ่าย รัฐบาลไม่ได้ใช้แนวทางการแก้ปัญหา
แบบรวมศูนย์อย่างเข้มข้น เช่น ไม่ได้มีการสั่งล็อกดาวน์เต็มรูปแบบ แต่กลับมีการผ่อนคลายมาตรการ
มากกว่าการระบาดในระลอกแรก อีกทั้งรัฐบาลยังกระจายอำนาจให้ส่วนภูมิภาค โดยมีผู้ว่าราชการ
แต่ละจังหวัดมีอำนาจในการตัดสินใจดำเนินการตามกรอบอำนาจด้วยตนเองได้อย่างเต็มที่ ผลที่ตามมาคือ
ความสับสนของข้อมูลและการตัดสินใจดำเนินมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดอย่างไร้ทิศทางในแต่ละพื้นที่
ทำให้การแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด-19 จึงไม่ได้เกิดการทำงานอย่างเป็นเอกภาพตามที่รัฐบาล
ต้องการ มิหนำซ้ำยังทำให้สถานการณ์กลับมีแนวโน้มยืดเยื้อมากกว่าเดิม
¸ ผลกระทบด้านเศรษฐกิจและการจ้างงาน : ในปี พ.ศ.2563 การแพร่ระบาดของโควิด-19
ส่งผลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจโลก ซึ่งหดตัวกว่าร้อยละ 3 นับว่าเป็นการหดตัวทางเศรษฐกิจที่รุนแรง
และรวดเร็วที่สุดนับตั้งแต่เคยเกิดวิกฤติเศรษฐกิจช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 (The Great Depression)
กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ประเมินว่า การแพร่ระบาดของโควิด-19 อาจจะทำให้เศรษฐกิจ
ของทุกประเทศทั่วโลกถดถอยไปอีก 5 ปีพร้อมกัน และมีมูลค่าความเสียหายต่อเศรษฐกิจโลกสูงถึง
6 สถาบันพระปกเกล้า