Page 288 - kpi21298
P. 288
หนึ่งภายใต้ฐานคติเชิงปรัชญาตามกระบวนทัศน์แบบปฏิบัตินิยม (Johnson, Onwegbuzie and
Turner, 2007; Tashakkori & Teddlie, 2008) โดยในการวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยในรูปแบบที่มีการ
แยกวิธีด าเนินการวิจัยเป็น 4 ระยะ หรือ 4 ขั้นตอนอย่างชัดเจน แล้วจึงน าเสนอผลการวิจัยแบ่งออกเป็น
4 ตอนโดยเอกเทศ (Three-phase Design) โดยในแต่ละระยะหรือขั้นตอนจะตอบค าถามของการวิจัย
และ/หรือวัตถุประสงค์ของการวิจัยที่ต่างประเด็นกันโดยมีบทสรุปเป็นตัวเชื่อมโยงการวิจัยทั้ง 4 ตอนเข้า
ด้วยกัน (Creswell, 2015) ดังนี้
ในการวิจัยระยะที่ 1 ซึ่งเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพนั้น เป็นการวิจัยเพื่อน าไปสู่การสร้างกรอบ
แนวคิดเชิงทฤษฎีของตัวชี้วัดและเกณฑ์ที่เป็นมาตรฐานในการติดตามความก้าวหน้าในการน าหลัก
ธรรมาภิบาลไปปฏิบัติขององค์กรภาครัฐ ภาคท้องถิ่น องค์กรภาคเอกชน (ธุรกิจ) และองค์กรไม่แสวงผล
ก าไร ในประเทศไทยโดยการใช้แนวทางปทัสถาน (Normative) อันจะเป็นฐานคติเพื่อน าไปสู่การยกร่าง
ตัวชี้วัดของ Good Governance Mapping Platform ในการติดตามผลการน าหลักธรรมาภิบาลไป
ปฏิบัติขององค์กรภาครัฐ ภาคท้องถิ่น องค์กรภาคเอกชน (ธุรกิจ) และองค์กรไม่แสวงผลก าไรในประเทศ
ไทย
ส่วนการวิจัยระยะที่ 2 ซึ่งเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพเช่นกัน เป็นการวิจัยเพื่อพัฒนาตัวชี้วัด
และจัดท ารายละเอียดค าอธิบายเกณฑ์ของ Good Governance Mapping Platform ในการติดตาม
ผลการน าหลักธรรมาภิบาลไปปฏิบัติ รวมทั้งพิจารณาคุณภาพของตัวชี้วัดด้วยวิธีเชิงเหตุผลในลักษณะที่
เป็นการผสมผสานระหว่าง 2 แนวคิด คือ การวิเคราะห์จากหลักฐานเชิงคุณลักษณะที่เน้นการใช้ตัว
บุคคล และการวิเคราะห์จากหลักฐานเชิงปริมาณโดยการใช้เทคนิคทางสถิติที่เน้นการตรวจสอบความ
มากหรือน้อยของความเหมาะสมของตัวชี้วัด ซึ่งสามารถอ้างอิงกลุ่มตัวอย่างไปหาประชากรได้ และ
สามารถน าไปสู่ค าตอบในการสร้างตัวชี้วัดใหม่ หรือการปรับปรุงหรือพัฒนาจากตัวชี้วัดเดิม (Guskey,
2000)
การวิจัยระยะที่ 3 นั้น เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ เป็นการวิจัยเพื่อยืนยันความเหมาะสมของ
ตัวชี้วัด ซึ่งมุ่งเติมเต็มและเพิ่มพูนความครบถ้วนสมบูรณ์ของผลการวิจัยเชิงคุณภาพที่ได้รับ
(Complementary) เพื่อขยายความลุ่มลึกของการวิจัยเชิงคุณภาพให้เกิดความเข้าใจดียิ่งขึ้น
(Expansion) โดยการก าหนดสมมุติฐานอย่างเจาะจงมีการพัฒนาเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล
จากกลุ่มตัวอย่างที่สุ่มจากประชากร มีการน าข้อมูลที่ได้รับไปท าการวิเคราะห์เพื่อให้ได้รับผลการวิจัยใน
รูปตัวเลขที่สามารถวัดค่าได้จากเครื่องมือด้วยใช้วิธีการทางสถิติ (Comrey,1988; Conway &
Huffcutt, 2003) และน าเสนอรายงานวิจัยในรูปแบบมาตรฐานที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นปรนัยและ
ความไม่ล าเอียงของนักวิจัย
โครงการวิจัยพัฒนาฐานข้อมูลองค์ความรู้ด้านธรรมาภิบาล (Phase 2) 252