Page 260 - kpi19909
P. 260

254



                          สรุปได้ว่า อัตลักษณ์ของความขัดแย้งอันเนื่องจากโครงการตามนโยบายของภาครัฐที่

                   เกิดขึ้นในเขตภาคเหนือ โดยส่วนใหญ่เป็นความขัดแย้งระหว่างภาครัฐ บรษัทเอกชน และชุมชน โดย
                   มีรากฐานความขัดแย้งที่มีความเกี่ยวเนื่องและสัมพันธ์กันในลักษณะลูกโซ่ ทั้งในส่วนของประเด็น

                   ด้านโครงสร้าง (Structural Conflict) ร่วมกับความขัดแย้งด้านผลประโยชน์ (Interest conflict) ใน

                   การกําหนดนโยบาย หรือโครงการของรัฐแบบบนลงล่าง (Top-down Approach) โดยที่ภาครัฐ มัก

                   มีอ้างถึงเหตุผลในการดําเนินนโยบาย หรือโครงการของรัฐ ภายใต้ “วาทกรรมการพัฒนา”

                   (Development Discourses) และรัฐก็มีหน้าที่ที่สําคัญ และมีความชอบธรรมที่จะต้องแปลง
                   ทรัพยากรต่าง ๆ ให้เกิดประโยชน์กับความเจริญของประเทศโดยภาพรวม ปราศจากความร่วมมือ

                   ของประชาชน ซึ่งผลที่ตามมา คือ ความรู้สึกไม่สบายใจ ความคับข้องใจ และกลายเป็นความขัดแย้ง

                   ในท้ายที่สุด

                          2) กระบวนการจัดการความขัดแย้งที่พบ
                          โดยส่วนใหญ่พบว่า จริงๆ แล้ว ประเด็นความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในพื้นที่ภาคเหนือนั้นเป็นไป

                   ในลักษณะของ “ผลที่ลุกลาม” (Result of Escalation) จากความห่วงกังวล ความรู้สึกไม่ปลอดภัย

                   ในชีวิตและทรัพย์สิน ในประเด็นของผลกระทบทางสังคม ผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม และผลกระทบ

                   ทางสุขภาพดังกล่าวไว้ในข้างต้น ซึ่งกระบวนการแก้ไขปัญหามักไม่เกิดขึ้นอย่างทันทีทันใด หากแต่
                   กระบวนการแก้ปัญหาจะเริ่มจากการเรียกร้องไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ไขปัญหา แต่ข้อ

                   เรียกร้องนั้นมักถูกเพิกเฉย หรือกลับไม่ได้รับความสนใจ จนลุกลามจากประเด็นของผลกระทบ

                   กลายเป็นประเด็นความขัดแย้ง

                          ทั้งนี้ สภาวการณ์ดังกล่าวได้สร้ าง “บรรยากาศของความไม่ไว้วางใจ” (Mistrust
                   Atmosphere) ปกคลุมในจิตใจของชาวบ้านผู้ได้รับผลกระทบ ยิ่งกว่านั้น ความไม่ไว้วางใจดังกล่าว

                   ได้ขยายตัวลุกลามกลายเป็น “การระบาดทางอารมณ์”  (Emotional Contagion) ในหมู่ผู้ได้รับ

                   ผลกระทบดังกล่าวทําให้เกิดการรวมตัวกันซึ่งลุกลามไปถึงการลุกฮือขึ้นเพื่อคัดค้าน และต่อต้านการ

                   ดําเนินนโยบาย หรือโครงการของรัฐดังกล่าว ทั้งในรูปของการรวมตัวประท้วง การปิดถนน การยื่น
                   หนังสือประท้วงแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องในทุกระดับ ตลอดจนการเดินขบวนเข้า

                   กรุงเทพมหานครเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม และเพื่อเพิ่ม “เสียงในการต่อรอง” (Empowerment)

                   ให้กับข้อเรียกร้องของกลุ่มตนเอง

                          ดังนั้น เมื่อ “ผลกระทบฯ” ลุกลามขยายตัวจนกลายเป็น “ความขัดแย้ง” โดยมี “บรรยากาศ

                   ของความไม่ไว้วางใจ” เป็นตัวกระตุ้นให้บรรยากาศครุกรุ่น กระบวนการจัดการความขัดแย้งที่พบ
                   ส่วนใหญ่จึงเป็นไปในลักษณะของ “การบรรเทาอาการ” กล่าวคือ เป็นไปในลักษณะของข้าราชการ

                   ชั้นผู้ใหญ่เดินทางมารับหนังสือร้องเรียนจากกลุ่มชาวบ้านผู้ได้รับผลกระทบ รวมถึงการทําหน้าที่เป็น

                   "ผู้เจรจราเกลี้ยกล่อม" (Lobbyist) ให้ชาวบ้านเข้าใจในเบื้องต้น รับปากว่าจะดําเนินการแก้ไขปัญหา
   255   256   257   258   259   260   261   262   263   264   265