Page 336 - kpi19903
P. 336

299



               เมื่อเราขจัดอิทธิพลของสหสัมพันธ์เชิงพื้นที่และภูมิภาคออกไปจะพบว่าร้อยละของประชากรในเขตเลือกตั้งที่นับถือ
               ศาสนาอิสลามสัมพันธ์ทางลบกับร้อยละที่เลือกพรรคประชาธิปัตย์ และ 2. ผลการวิเคราะห์ระดับบุคคลพบว่าเพศ

               ชายมีแนวโน้มจะเลือกพรรคประชาธิปัตย์แม้ว่าค่าสหสัมพันธ์จะต่ ามาก (r=.09) แต่ผลการวิเคราะห์ระดับเขต

               เลือกตั้งกลับพบว่าร้อยละของประชากรเพศหญิงในเขตเลือกตั้งสัมพันธ์ทางบวกกับร้อยละที่เลือกพรรค
               ประชาธิปัตย์

                       ความย้อนแย้งดังกล่าวที่เกิดผลการค้นพบที่ตรงข้ามกันในผลการเลือกตั้งได้เคยเกิดขึ้นมาก่อนใน

               สหรัฐอเมริกา เช่น พบว่าคนที่ยากจนมีแนวโน้มจะเลือกพรรคเดโมแครต และคนที่ร่ ารวยมีแนวโน้มจะเลือกพรรครี
               พับลิกัน แต่รัฐที่มีรายได้ต่อหัวมากกว่ามีแนวโน้มจะเลือกพรรคเดโมแครต ส่วนรัฐที่มีรายได้ต่อหัวน้อยกว่ามี

               แนวโน้มจะเลือกพรรครีพับลิกัน (A Gelman, 2010) ซึ่งมีเหตุผลที่อธิบายได้หลายประการ
                                                                                         58
                       ประการแรก อาจจะเกิดจากภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ เชื้อชาติ วัฒนธรรม หรือการแบ่งแยกทางการเมือง
               (Political divide) เช่น รัฐในทางเหนือของสหรัฐอเมริกามีแนวโน้มจะเป็นเสรีนิยม สนับสนุนความหลายทางชาติ

               พันธุ์และมีฐานะทางเศรษฐกิจดีกว่า รัฐที่อยู่ติดมหาสมุทรไม่ว่าจะฝั่งตะวันออกหรือตะวันตกจะมีเศรษฐกิจดีกว่ารัฐ

               ในมิดเวสท์และมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อพยพมากกว่าท าให้มีความคิดเสรีนิยมมากกว่า การจะอธิบายโดยใช้ความรู้
               ในทางประวัติศาสตร์ เชื้อชาติวัฒนธรรมเหล่านี้ต้องใช้ความรู้ในเนื้อหาวิชานั้นๆ เพื่อมาอธิบายเหตุผลของความ

               ย้อนแย้ง

                       ประการสอง อาจจะเกิดจากอคติจากการสรุปรวมข้อมูลขึ้นมาสู่ระดับที่สูงกว่า (Aggregation bias) เช่น
               ด าเนินการส ารวจประชาชนทั่วประเทศแล้วสรุปผลออกมาเป็นค่าเฉลี่ยของแต่ละเขตเลือกตั้งหรือแต่ละจังหวัด แต่

               ละรัฐ การ aggregate ข้อมูลจากระดับที่ต่ ากว่ามาเป็นข้อมูลของระดับที่สูงกว่าในทางสถิติอาจจะท าให้เกิดปัญหา

               เกิดค่าสหสัมพันธ์ที่สูงขึ้น ลดลง หรือไม่พบความสัมพันธ์ และไม่ตรงกับความสัมพันธ์ที่แท้จริงได้ (Moorman,
               1979)

                       ประการที่สาม ความแปรปรวนระหว่างเขตเลือกตั้งน่าจะน้อยกว่าความแปรปรวนภายในเขตเลือกตั้ง ทั้งนี้

               ตัวแปรตามที่เราสนใจเช่นพฤติกรรมการเลือกตั้งแม้ภายในเขตเลือกตั้งเองก็มีความหลายหลายดังเช่นในบทที่ 14
               ที่เราค านวณความหลากหลายของผลการเลือกตั้งด้วย Normalized entropy ตาม information theory

               (Budescu & Budescu, 2012) และพบว่าผลการเลือกตั้งมีความหลากหลายมากในเขตเลือกตั้งเดียวกันโดยเฉพาะ

               เขตเลือกตั้งภายในเขตเมืองหรือมีความเป็นเมืองสูง ทั้งนี้ความแปรปรวนภายในกลุ่ม (Variance within group)
               และความแปรปรวนระหว่างกลุ่ม (Variance between group) ใช้ในการค านวณค่าสหสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรใน

               การวิเคราะห์ในระดับบุคคลและการวิเคราะห์ระดับเขตเลือกตั้งตามล าดับ ผลการวิเคราะห์หากมีความแปรปรวน



               58  อ่านเพิ่มเติมได้จากบทความ ความย้อนแย้งแห่งความยากจนในการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีของ
               สหรัฐอเมริกา ใน http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9590000068563
   331   332   333   334   335   336   337   338   339   340   341