Page 104 - kpi18343
P. 104
กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการสร้างความปรองดอง
ก ร ณี ศึ ก ษ า ใ น ต่ า ง ป ร ะ เ ท ศ
อย่างไรก็ตาม มีบางส่วนที่เห็นว่า อาจจะไม่จำเป็นต้องมีการนิยามให้ชัดเจน
ก็ได้ เพียงแต่ขอให้ทำความเข้าใจที่มาที่ไปของเหตุการณ์ให้ชัดเจน ในขณะที่อีก
ส่วนหนึ่งก็ตั้งข้อสังเกตว่า การจะพิจารณาแยกแยะถึงเหตุจูงใจทางการเมืองออกจาก
ประโยชน์ส่วนตัวอย่างชัดเจนนั้น น่าจะเป็นเรื่องที่ท้าทายพอสมควร ซึ่งหลักเกณฑ์
ที่อาจจะช่วยให้สามารถแยกแยะได้นั้น คือ การพิจารณาลักษณะของการกระทำ
ซึ่งเป็นรูปธรรมที่ปรากฏให้เห็นได้ชัดเจนกว่าความคิดที่เป็นเพียงนามธรรม ซึ่งจะนำ
เราไปสู่ประเด็นที่สองต่อไป คือ การคัดกรองลักษณะของการกระทำ
ประเด็นที่ 2: การคัดกรองว่าการกระทำที่มีเหตุจูงใจทางการเมือง
ลักษณะใดที่น่าจะเข้าข่ายการนิรโทษกรรม ควรจะมีหลักเกณฑ์ในการ
พิจารณาอย่างไร?
นักวิชาการเกือบทั้งหมด ไม่เห็นด้วยหากจะมีการนิรโทษกรรมแบบเหมารวม
แก่ทุกคนและทุกการกระทำที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาของความขัดแย้งทางการเมือง
เนื่องจากแต่ละช่วงเวลาและเหตุการณ์ก็มีลักษณะของการกระทำ มูลเหตุจูงใจ
เจตนา รวมถึงผลที่เกิดขึ้นจากการกระทำที่แตกต่างกันไป
ดังนั้น จึงเห็นควรที่จะมีการจำแนกและคัดกรองประเภทของการกระทำ
ตัวบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการกระทำ และผลที่เกิดขึ้นให้มีความชัดเจนว่ากรณีใดควร
ได้รับการนิรโทษกรรม และกรณีใดไม่ควรได้รับการนิรโทษกรรม
ประเด็นที่นักวิชาการส่วนใหญ่เสนอเพื่อช่วยในการคัดกรองว่าใครและ
การกระทำที่มีเหตุจูงใจทางการเมืองลักษณะใดบ้างที่จะเข้าข่ายได้รับการนิรโทษ
กรรม นอกจากการพิจารณาเบื้องต้นว่าบุคคลใดบุคคลหนึ่งได้กระทำการผิดกฎหมาย
ด้วยเหตุจูงใจทางการเมืองหรือไม่แล้วนั้น สามารถแยกออกได้ดังต่อไปนี้ คือ
ก) ความร้ายแรงของการกระทำ
ข) ประเภทของคดี
ค) ตัวบุคคลผู้กระทำ
ก) ความร้ายแรงของการกระทำ
การกระทำที่มีเหตุจูงใจทางการเมืองมีอยู่หลายรูปแบบ ส่วนใหญ่เห็น
ร่วมกันว่า การกระทำที่ “ร้ายแรง” นั้น ไม่ควรได้รับการนิรโทษกรรม เพื่อป้องกัน
สถาบันพระปกเกล้า