Page 37 - kpi16607
P. 37
ดุลอำนาจ ในการเมืองการปกครองไทย
หรือทฤษฎี “รูปแบบการปกครองแบบผสม” (a mixed constitution/regime)
อาการแกว่งไปมานี้จึงไม่ใช่ปรากฏการณ์หรือลักษณะเฉพาะ (uniqueness) ของ
สังคมการเมืองใดสังคมหนึ่ง แต่เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในทุกสังคมการเมือง
โดยเฉพาะที่ในบริบทสังคมการเมืองที่ยังไม่มีอุดมการณ์และรูปแบบการปกครอง
ใดมีความชอบธรรมเพียงหนึ่งเดียว อย่างเช่นในบริบทของนครรัฐกรีกโบราณ
ซึ่งในบรรดานครรัฐกรีกโบราณ หากมีนครรัฐใดมีรูปแบบการปกครองที่อำนาจ
ทางการเมืองไม่สุดโต่งไปทางใดทางหนึ่งก็จะสามารถดำรงอยู่ได้ยาวนานกว่าที่อื่น
อย่างเช่นในกรณีของนครรัฐสปาตาร์หรือในกรณีของสาธารณรัฐโรมัน
ขณะเดียวกัน เราก็ไม่สามารถปฏิเสธอิทธิพลของวิวัฒนาการของเงื่อนไขทาง
เศรษฐกิจสังคมและการเมืองในประวัติศาสตร์ที่ดำเนินไปในลักษณะ “unilinear”
ด้วย โดยสังคมการเมืองมีพัฒนาการเข้าสู่สังคมศักดินาที่กลุ่มอภิชนมีอำนาจ
อิทธิพลสูง และพัฒนาต่อมาสู่ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่พระมหากษัตริย์
หรือบุคคลคนเดียวมีอำนาจอิทธิพลสูง และการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่สังคมทุนนิยม
อันนำไปสู่พัฒนาการของระบอบเสรีประชาธิปไตยที่ถือว่าเป็นพัฒนาการสูงสุดของ
รูปแบบการปกครองในยุคสมัยใหม่ปัจจุบันหรืออีกนัยหนึ่งคือ รูปแบบการปกครอง 2
แบบผสมที่ลงตัวดังที่กล่าวไปแล้ว ซึ่งผู้เขียนจักได้อธิบายขยายความในประเด็น
ที่กล่าวมานี้มากขึ้นในงานวิจัยปีต่อไป
หากพิจารณาประวัติศาสตร์การเมืองการปกครองในแต่ละช่วงหลังยุคกรีก-
โรมันโบราณ ก็จะพบอาการแกว่งตัวไปมาของอำนาจทางการเมืองเสมอไม่ว่า
เพียงแต่ว่าอาจจะไม่เหวี่ยงอย่างรุนแรงเหมือนในยุคกรีก-โรมันโบราณ เพราะ
อิทธิพลของวิวัฒนาการของเงื่อนไขทางเศรษฐกิจสังคมการเมืองในแต่ละยุคของ
ประวัติศาสตร์ ดังนั้น ผู้เขียนจึงไม่ปฏิเสธคำอธิบายภายใต้กรอบ “unilinear” ที่
ขับเคลื่อนสังคมการเมืองโดยทั่วไปในประวัติศาสตร์มาจนถึงสังคมสมัยใหม่ภายใต้
ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม-โลกาภิวัตน์ และแม้ว่าผู้เขียนจะได้กล่าวไปข้างต้นว่า
อาการแกว่งไปมาไม่ใช่ปรากฏการณ์หรือลักษณะเฉพาะ แต่ความรุนแรงของการ
แกว่งอาจจะเกี่ยวขึ้นอยู่กับลักษณะหรือเงื่อนไขเฉพาะของสังคมนั้นได้ ดังที่ผู้เขียน
ตระหนักดีในสิ่งที่ยศเรียกว่า “ความเป็นจริงทางประวัติศาสตร์” ของการเมืองไทย
ที่ยศเห็นการแกว่งตัวไปมาระหว่างสิ่งที่ยศเรียกว่า “เผด็จการกับประชาธิปไตย”
สถาบันพระปกเกล้า