Page 69 - kpi12821
P. 69
ณรงค์เดช สรุโฆษิต
อนึ่ง ระดับพัฒนาการสูงสุดของความหลากหลายทางการเมืองดังกล่าวจะ
ปรากฏในรูปการรวมกลุ่มกันของพลเมืองที่มีเจตจำนงทางการเมืองในทิศทางเดียวกัน
เพื่อสร้างและร่วมกันแสดงออกซึ่งเจตจำนงดังกล่าว ด้วยการเข้าสู่อำนาจรัฐเพื่อทำให้
เจตจำนงที่วางไว้บรรลุผล กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ การรวมกลุ่มในรูปพรรคการเมือง
3
นั่นเอง พรรคการเมืองจึงเป็นพื้นฐานสำคัญที่ประกันความหลากหลายทางการเมือง
ดังเช่นที่ศาลสิทธิมนุษยชนแห่งยุโรปกล่าวย้ำไว้ในคำวินิจฉัยหนึ่งว่า “...พรรคการเมือง
มีบทบาทสำคัญยิ่งในการธำรงไว้ซึ่งความหลากหลายและการทำงานของระบอบ
4
ประชาธิปไตยอย่างเหมาะสม” ดังนั้น การยุบพรรคการเมืองจึงเท่ากับเป็นการ
ลดทอนความหลากหลายทางการเมืองโดยตรง
จากสถิติการยุบพรรคการเมืองของไทยที่ระบุไว้ในบทที่ 1 พบว่า สาเหตุ
หลักของการยุบพรรคมาจากการที่พรรคการเมืองไม่สามารถจัดหาสมาชิกพรรคได้ครบ
5,000 คนและมีสาขาครบทั้ง 4 ภาค ภายในกำหนดเวลา 180 วัน (ตามกฎหมายเดิม)
หรือภายใน 1 ปี (ตามกฎหมายปัจจุบัน) นับแต่วันที่นายทะเบียนพรรคการเมืองตอบรับ
การจดแจ้งจัดตั้งพรรคการเมือง ซึ่งพรรคการเมืองเหล่านั้นล้วนแล้วแต่เป็น
5
พรรคการเมืองขนาดเล็ก และส่วนใหญ่มีเจตนารมณ์ทางการเมืองหรือนโยบาย
เฉพาะเรื่องเฉพาะด้าน
3 Nancy L. Rosenblum, “Banning Parties: Religious and Ethnic Partisanship in Multicultural
Democracies,” Law & Ethics Human Rights, (Vol. 17 January, 2007) น. 1; ผู้สนใจคำอธิบายความ
เชื่อมโยงของพรรคการเมืองกับการรักษาความหลากหลายในสังคม โปรดดู Giovanni Sartori, Parties and
Party System: A Framework for Analysis, (Cambridge: Cambridge University Press, 1976), น. 13
– 18; “การมีพรรคการเมืองที่หลากหลายเป็นอิสระจากรัฐและแข่งขันกันเองเป็นความหมายอันดับแรกของความ
หลากหลายในสังคมประชาธิปไตย” โปรดดู Eckart Klein และ Thomas Giegerich, “The Parliamentary
Democracy,”ใน Ulrich Karpen (ed.), The Constitution of the Federal Republic of Germany,
(Baden-Baden: Nomos Verlagsge sell schaft, 1988), น. 146.
4 Refah Partisi (the Welfare Party) et al. v. Turkey [GC] (13 February 2003) อ้างถึงใน Carlos
Vidal Prado, “Spain,” ใน Markus Thiel (ed.), The ‘Militant Democracy’ Principle in Modern
Democracies, (Surrey: Ashgate Publishing Limited, 2009) น. 253.
5 ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากความเชื่อที่ว่า “พรรคใหญ่ดีกว่าพรรคเล็ก” และ “ระบบทวิพรรคดีกว่าระบบ
พหุพรรค”โปรดดู รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์, เศรษฐศาสตร์รัฐธรรมนูญ เล่ม 3: บทวิเคราะห์รัฐธรรมนูญแห่ง
ราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540, (กรุงเทพฯ: มติชน, 2547) น. 31 – 36 และบทอื่นๆ ซึ่งวิเคราะห์ “ตลาด
การเมืองไทย” โดยอาศัยหลักเศรษฐศาสตร์ไว้อย่างน่าสนใจยิ่ง; อย่างไรก็ดี มีอีกความเห็นหนึ่ง มองว่า พรรคการ
เมืองเล็กๆ เหล่านี้ ส่วนใหญ่มิใช่พรรคการเมืองอย่างแท้จริง เพราะมิได้ดำเนินกิจกรรมทางการเมืองใดๆ อย่างเป็น
ชิ้นเป็นอัน หรือไม่ก็จัดตั้งขึ้นเพื่ออาศัยเป็นช่องทางหารายได้เข้ากระเป๋าผู้บริหารพรรคบางคนจากเงินสนับสนุน
ของกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง ดังนั้น การยุบพรรคการเมืองจำพวกนี้ หาได้กระทบต่อความ
หลากหลายทางการเมืองแต่อย่างใด