Page 509 - kpiebook67020
P. 509
508 การศึกษาการป้องกันวิกฤตสังคมในอนาคต
ในการประเมินข่าวสารเกี่ยวกับ COVID-19 พบว่า 35.7% ของประชาชนยังไม่สามารถ
แยกข่าวจริงและข่าวเท็จได้ โดย 4.8% ยังมีการส่งต่อข้อความที่เป็นเท็จ และ 83.8%
ของผู้ที่ส่งต่อข่าวเท็จเผยแพร่ผ่านทาง Facebook นอกจากนี้ ยังพบว่าในช่วงเดือน
เมษายน-พฤษภาคม 2564 ประชาชน 57.6% เคยพบเห็น หรือได้ยิน หรือได้อ่าน
ข่าวปลอม โดยแหล่งที่กลุ่มตัวอย่างนี้เข้าถึงข่าวปลอม COVID-19 ได้แก่ Facebook
มากที่สุด 51.1% ตามมาด้วย สื่ออื่น ๆ ที่ไม่ใช่สื่อสังคมออนไลน์ 28.8%, Line 15.6%
และ Twitter/ YouTube/ Instagram 4.5% (กรุงเทพธุรกิจ, 2563) ในท�านองเดียวกัน
ปี 2564 ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมและศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี
สารสนเทศ ส�านักงานต�ารวจแห่งชาติ ได้แถลงภาพรวมสถานการณ์ข่าวปลอม
เกี่ยวกับ COVID-19 ทั้ง 3 ระลอกของประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 25 มกราคม 2563 –
11 พฤษภาคม 2564 รวมระยะเวลา 475 วัน พบข้อความที่เกี่ยวข้อง จ�านวน
73,833,192 ข้อความ หลังจากคัดกรองพบข่าวที่เข้าหลักเกณฑ์ข่าวปลอม จ�านวน
6,791 ข้อความ และมีข่าวที่ต้องด�าเนินการตรวจสอบทั้งหมด 3,376 เรื่อง เป็นข่าว
ในหมวดหมู่สุขภาพจ�านวน 2,242 เรื่อง คิดเป็น 66% ข่าวในหมวดหมู่นโยบายรัฐ
1,011 เรื่อง คิดเป็น 30% และข่าวในหมวดหมู่เศรษฐกิจ 124 เรื่อง คิดเป็น 4%
(Thai PBS NEWS, 2564)
ผลกระทบอย่างส�าคัญที่เกิดขึ้นจากการส่งต่อข้อมูลข่าวสารที่ผิดปกติผ่าน
ช่องทางการสื่อสารต่าง ๆ คือ สามารถสร้างความเข้าใจผิดและความเสียหายแก่
บุคคลที่ถูกพาดพิงและสังคมได้ เพราะการแพร่กระจายข้อมูลข่าวสารมักจะเกิดขึ้น
อย่างรวดเร็วและเข้าถึงกลุ่มคนได้จ�านวนมาก โดยมีเป้าหมายคือ การสร้างความเข้าใจผิด
แก่ผู้รับสารด้วยข้อมูลที่ผิดบิดเบือน หากพิจารณาแล้วจะเห็นได้ว่า ความผิดปกติของ
ข้อมูลข่าวสารประกอบด้วยองค์ประกอบ 3 ส่วน คือ ผู้สร้าง ข้อความ และผู้ตีความ
กล่าวคือ ใครเป็นตัวการสร้างเนื้อหาข้อมูลข่าวสารขึ้นมาและสร้างด้วยแรงจูงใจหรือ